ความพ่ายแพ้ให้กับ สเปอร์ส ในเกมพรีเมียร์ลีก เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เหมือนเป็นการกระชากให้พลพรรคสีน้ำเงินแห่งกรุงลอนดอนสู่โลกแห่งความเป็นจริงว่าปีนี้ทีมอาจจะยังไม่ดีพอที่จะก้าวไปเป็นทีมลุ้นแชมป์ลีก
แม้จะออกสตาร์ทได้อย่างยอดเยี่ยมไร้ความพ่ายแพ้ในเกมก่อนหน้า แต่ก็มีหลายนัดที่จวนไปเจียนมา รวมถึงพึ่งความมหัศจรรย์ของ เอแด็น อาซาร์ เอาตัวรอดมาได้
จนกระทั่งความจริงก็ปรากฏว่าขนาดของทีมนั้นยังไม่ใหญ่พอสำหรับหวุนเวียนตัวสำรองลงมาแก้เกมได้ยามที่ตัวจริงเล่นไม่ออก
เมาริซิโอ ซาร์รี่ ยืนยันมาตลอดว่าการยกระดับทีมก็คือการพัฒนาผู้เล่น ไม่ใช่การซื้อนักเตะใหม่มาเสริม เขาเชื่อในการช่วยนักเตะในทีมให้เข้าใจการเล่นของทีมซึ่งผู้เล่นก็จะช่วยทำผลงานให้ดีได้ในที่สุด
แต่สุดท้ายก็ต้องยอมรับว่านอกจาก 11 ผู้เล่นตัวจริงของทีมแล้ว แม้กระทั่งสำรองข้างสนามยังไม่ดีพอที่จะต่อกรกับทีมลุ้นแชมป์อย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แถมยังต้องบอกว่าห่างอยู่ช่วงหนึ่งด้วยซ้ำ
ชัยชนะเหนือ พีเอโอเค 4-0 ถือเป็นการเรียกความมั่นใจได้เป็นอย่างดี แม้นักเตะที่ลงสนามเกือบยกทีมจะเป็นตัวสำรอง แต่อย่างน้อยก็ช่วยให้ตัวหลักได้พักหายใจหายคอบ้าง
เกมกับ ฟูแล่ม ถือเป็นนัดที่จัดผู้เล่นตามผลงานโดยเฉพาะในแนวรุกที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่เพิ่งกดสองประตูในเกมยุโรปเกมนี้ได้ลงเล่นต่อเลย โดยมี เอแด็น อาซาร์ ฟิตกลับมาทำเกมรุก ส่วนอีกคนเป็น เปโดร โรดริเกซ ได้เล่นก่อน วิลเลี่ยน
แดนกลางยืนพื้นอยู่แล้วกับ จอร์จินโญ่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ส่วนอีกคนเป็น มาเตโอ โควาซิช หลังจากที่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ลงสนามเต็ม 90 นาทีในเกมยูโรปา ลีก ขณะที่เกมรับพักมายกแผงก็กลับมายกแผงทั้ง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ดาวิด ลุยซ์, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ มาร์กอส อลอนโซ่ ส่วนผู้รักษาประตู เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เฝ้าเสา
ซึ่งด้วยศักยภาพที่เหนือแถมยังอยู่ในสแตมฟอร์ด บริดจ์ทำให้มาตรการต่างๆในเกมชี้ใช้ออกในง่ายขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการครองบอลที่แถมยังอยู่กับนักเตะเจ้าถิ่นทั้งหมด
และทุกอย่างก็มาเข้าที่เข้าทางอย่างรวดเร็วจังหวะที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ตัดบอลได้ก่อนไหลให้ เปโดร โรดริเกซ ล็อคหลอกในเขตโทษก่อนยิงด้วยซ้ายเข้าไปตั้งแต่นาทีที่ 4 ของเกม
เคลาดิโอ รานิเอรี่ วางแผนมาให้ลูกทีมเล่นบอลสั้นบวกกับการบีบเกมสูงกดดันเจ้าถิ่น แต่ต้องยอมรับว่าคุณภาพของนักเตะที่เป็นรองเยอะทำให้ผลที่ออกมานั้นกลายเป็นวิ่งเหนื่อยเปล่า คนละเรื่องกับ สเปอร์ส ที่บีบจน เชลซี แทบกระดิกไม่ได้
"สิงห์บลูส์" ยังคงต่อบอลสั้นแก้ไขสถานการณ์ออกมาได้แบบไม่ยากเย็นทุกครั้ง ต่างจากทาง ฟูแล่ม ที่พยายามสู้ด้วยบอลสั้นเหมือนกันแต่โดนตัดจนเกือบเสียประตูอยู่บ่อยครั้ง
ครึ่งแรกเกมของ เชลซี เป็นในแบบที่ควรจะเป็น, ได้ประตูขึ้นนำ, ครองเกมแทบจะข้างเดียว, เกมรุกทั้งสองข้างเติมได้ลุ้นอยู่แทบจะตลอด, แนวรับมีการวางบอลตัดแนวรับคู่แข่งให้เห็น ทุกอย่างที่ได้เห็นมาตลอดในซีซั่นนี้
ทว่าสิ่งที่หายไปก็คือ จอร์จินโญ่ ที่แทบไม่ได้บอลเลย เหมือนกับ เคลาดิโอ รานิเอรี่ ได้ดูเกมที่สิงโตแห่งลอนดอนพ่ายแพ้ให้กับ สเปอร์ส ที่ตัดกองกลางทีมชาติอิตาลีออกจากเกมแล้วจะทำให้เกมของ เชลซี ลดความน่ากลัวลงไป ซึ่งก็ทำได้ดี แต่สิ่งที่ต่างออกไปคือเรื่องของคุณภาพเกมที่สู้กันไม่ได้
แต่เมื่อเกมไม่ได้กำหนดที่ จอร์จินโญ่ การขึ้นเกมรุกของ เชลซี ก็ดูจะมีความรวดเร็วมากขึ้น แต่ก็ต้องชม ฟูแล่ม ว่ายังช่วยกันได้อีก อีกนัยหนึ่งจังหวะเปิดบอลเข้าเขตโทษของ มาร์กอส อลอนโซ่ ได้บอลขึ้นมาทางซ้ายหลายต่อหลายครั้งยังไม่เข้าเป้า และสกอร์ที่นำอยู่ลูกเดียวในครึ่งแรกก็ถือว่ายังไม่ปลอดภัยนัก
จริงอยู่ในช่วงครึ่งทางของครึ่งหลังบอลอยู่ในการครอบครองของ เชลซี เป็นส่วนใหญ่ แต่เล่นไปเล่นมากลายเป็นว่าจังหวะเข้าทำเริ่มตัน การต่อบอลกลับไปสามารถเปิดช่องคู่แข่งได้เลย
แถมทีมยังเกือบโดนตีเสมออีกด้วยจากลูกเตะมุมที่ คาลั่ม แชมเบอร์ส โหม่งเต็มหัวติดเซฟ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ส่วนอีกครั้งที่ มาร์กอส อลอนโซ่ เสียบอลทางซ้ายสุดท้ายโดน คาลั่ม แชมเบอร์ส กดด้วยขวานอกกรอบเดือดร้อนถึง เกปา ต้องออกแรงพุ่งปัดเอาไว้อีก
เมาริซิโอ ซาร์รี่ อยู่เฉยไม่ได้ขยับเปลี่ยนคนแรกเอา รูเบน ลอฟตัส-ชีค ลงมาเล่นแทน มาเตโอ โควาซิช ที่เจ็บ ก่อนที่จะเอา อัลบาโร่ โมราต้า ลงมาเล่นแทน โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่วันนี้มุ่งมั่นเป็นพิเศษเพียงแต่ไม่มีสกอร์มาฝากเท่านั้น
โมราต้า ที่ลงมาไม่ถึงสองนาทีก็มีโอกาสใกล้เคียงกับการพังประตูได้จังหวะที่แนวรับ ฟูแล่ม จ่ายบอลไปมาโดน เอแด็น อาซาร์ ฉกไปยิง เซร์คิโอ รีโก้ พุ่งปัดบอลไม่ไปไหนดาวยิงสเปนปราดเข้าหาบอลยิงมุมก็ไม่ได้แคบอะไรมากแต่ซัดข้ามคานออกไปแบบไม่ได้ลุ้นเลย
ซาร์รี่ ขยับเปลี่ยนตัวคนสุดท้ายเอา ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า ลงสนามมาแทน มาร์กอส อลอนโซ่ ที่วิ่งเยอะมาตั้งแต่ต้นเกมและช่วงหลังก็เริ่มที่จะหมดเหมือนกัน หลังจากที่โดน คาลั่ม แชมเบอร์ส และ ไซรัส คริสตี้ บี้มาตลอด แถม ฟูแล่ม ยังเติมความสดของ อาบูบาการ์ กามาร่า ลงมาบี้อีกแรงด้วย
แต่ที่สุดแล้วทีมก็มาได้ประตูจังหวะต่อเกมที่ยอดเยี่ยมก่อนที่ เอแด็น อาซาร์ จะไหลให้ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ตัวสำรองในยิงคนเดียวตุงตาข่ายในนาทีที่ 82 ช่วยให้ทีมหายใจคล่องขึ้นเยอะในช่วงท้ายก่อนจะรักษาสกอร์จนจบเกม
ถือว่าการเปลี่ยนตัวของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ สร้างความคึกคักของทีมให้กลับมาอีกครั้งหลังจากที่ดูจะเนือยๆลงไปอยู่เหมือนกัน
ชัยชนะในเกมนี้ทำให้ช่องว่างกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ กลับมาอยู่ที่ 7 คะนนเท่าเดิมซึ่งก็ถือว่าเยอะพอสมควรเมื่อมองจากผลงานของฝั่ง "เรือใบ" ที่ไม่แผ่วเลย แถมประตูบวก เชลซี ยังเป็นรองสุดกู่อยู่ถึง 18 ลูก
แต่สามแต้มก็ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีของทีมหลังจากความพ่ายแพ้ต่อ สเปอร์ส เป็นการกลับมาที่ทำให้รู้ว่าเมื่อทีมพลาดก็ยังจะกลับมาได้ในเกมถัดไป
กลางสัปดาห์นี้ทีมจะบุกไปเยือน วูล์ฟแฮมป์ตัน ก่อนที่วันเสาร์หน้าจะเปิดบ้านรับการมาเยือนของทีมจ่าฝูงอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ถือเป็นเกมชี้ชะตาที่จะวัดกันเลย หากทีมจะลุ้นแชมป์ต้องคว้าชัยชนะให้ได้อย่างเดียวเท่านั้น
ไม่ต้องถึงขั้นแพ้หรอก แค่เสมอก็คงเลิกหวังลุ้นแชมป์กันแบบจริงๆจรังๆสักที