หมดความชอบธรรม?
แน่นอนว่าคงไม่มีใครคาดคิดว่าพลพรรค "สิงห์บลูส์" จะกล้าๆบุกไปโดนทีมที่อ่อนชั้นกว่าบานยิงประตูขาดกระจุยถึง 4 เม็ดแบบนี้
ถือเป็นความแพ้แพ้ที่ย่อยยับที่สุดในพรีเมียร์ลีกของทีมสิงโตแห่งกรุงลอนดอนนับตั้งแต่ โรมัน อบราโมวิช เข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรเลยทีเดียว และถือเป็นความพ่ายด้วยสกอร์ห่างถึง 4 ลูกเป็นครั้งที่สองเท่านั้นในพรีเมียร์ลีกหลังเคยพ่าย ลิเวอร์พูล 1-5 เมื่อปี 1996
เกิดอะไรขึ้นกับ เชลซี?
เกิดอะไรขึ้นกับ เมาริซิโอ ซาร์รี่?
ความพ่ายแพ้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แต่การแพ้ให้กับทีมอย่าง บอร์นมัธ ขาดลอยแบบนี้เป็นสิ่งที่แฟนบอลรับไม่ได้เลย
มันแย่ยิ่งกว่าเกมก่อนหน้านี้ที่บุกไปแพ้ให้กับ อาร์เซน่อล ซะอีก
เมาริซิโอ ซาร์รี่ ทำเซอร์ไพรส์เล็กน้อยกับการดร็อป มาร์กอส อลอนโซ่ ออกจากทีมให้ เอแมร์ซอน ลงเล่นแทนตำแหน่งแบ็คซ้าย หลังจากที่ช่วงหลังแบ็คชาวสเปนโดนกระหน่ำอย่างหนักว่าฟอร์มตกอย่างน่าใจหาย
แต่อย่างน้อย อลอนโซ่ ยังมีจุดแข็งตรงที่การประสานงานกับ เอแด็น อาซาร์ ที่ถือว่าเข้าขั้น "รู้ใจ" และเมื่อเปลี่ยนเป็นอีกคนลงมา เกมรุกทางฝั่งซ้ายก็ลดความดุดันลงไปพอสมควร
คนที่เหลือกับการลงสนามไม่ได้ผิดคาดอะไรทั้ง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, ดาวิด ลุยซ์ ในเกมรับ มิดฟิลด์ให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่ และ มาเตโอ โควาซิช ส่วนเกมรุกเป็นหน้าที่ของ เอแด็น อาซาร์ และ เปโดร โรดรีเกซ โดยกองหน้า กอนซาโล่ อีกวาอิน ประเดิมเกมลีกครั้งแรกหลังชิมลางมาแล้วในเอฟเอ คัพ
เชลซี ยังคงเป็น เชลซี ในแบบที่ควรจะเป็นมาตั้งแต่ต้นฤดูกาล ครองบอลเหนือกว่าอย่างชัดเจน แต่ก็ยังคงเป็น "เชลซี" ที่ครองบอลเหนือกว่าแต่เข้าทำไร้น้ำยา เมื่อ เอแด็น อาซาร์ เล่นไม่ได้ เกมรุกของทีมก็แทบเป็นอัมพาต
อาจจะมีจังหวะเสียวเกือบได้ประตูจากลูกเปิดของ เปโดร จากทางขวาลึกไปเสาสอง มาเตโอ โควาซิช ได้โหม่งบอลชนคานเต็มๆ
เรียกได้ว่าเป็นจังหวะเดียวของเกมนี้ที่ "สิงห์บลูส์" ได้ลุ้นอะไรแบบจริงๆจรังๆ ส่วนที่เหลือแม้จะมีโอกาสสับไกแต่ก็ต้องบอกว่าไม่ได้เสียวอะไรมากมาย
จบครึ่งแรกแบบไร้สกอร์ ทิศทางของเกมยังถือว่าทำได้ดี ดูมีอนาคต ไม่มีใครคิดว่ากลับมาเล่นในครึ่งหลังจะแทบกลายเป็นหนังคนละม้วน
จากเสียประตูแรกอย่างรวดเร็วไม่ถึงสองนาทีแรกของครึ่งหลัง เกมของ เชลซี ก็ช็อตไปดื้อๆ ก่อนจะตามมาด้วยประตูที่สอง และ สาม และ สี่ จบข่าว
เกมรับที่เคยเหนียวแน่นกลายเป็นเสียประตูง่ายๆโดยเฉพาะจังหวะที่ บอร์นมัธ ขึ้นมาแต่ละทีเล่นเอาหายใจกันไม่ทั่วท้อง
คงไม่น่าเกลียดเกินไปหากจะบอกว่าสมควรด่า ดาวิด ลุยซ์ เพราะหลังจากเสียประตูแรกและยังทรงๆอยู่ กลับมั่วซั่วจ่ายเสีย แถมยังเข้าสกัดอย่างโฉ่งฉ่างนำมาซึ่งการเสียประตูที่สองอย่างน่าเจ็บใจ
แบบนี้ไงถึงไม่สมควรที่จะได้สัญญาใหม่ 2 ปีอย่างที่ร้องงอแง เพราะเซนเตอร์บราซิลพร้อมจะมีลูก "มั่ว" แบบนี้ให้เห็นอยู่เสมอ ไม่ว่าจะเล่นกับสโมสรไหนก็ตาม
หันไปดูข้างสนามสิ่งที่ ซาร์รี่ ทำอยู่เสมอยามภาพจับไปก็คือการ "จด" ไม่รู้ว่าจดอะไร แต่ที่รู้คือเกมของทีมยิ่งเล่นยิ่งมั่วขึ้นเรื่อยๆ
การเปลี่ยนตัวก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษใส่ไข่ให้แฟนๆได้รู้สึกว่าทีมจะกลับมาได้ วิลเลี่ยน แทน เปโดร โรดรีเกซ, โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แทน กอนซาโล่ อีกวาอีน และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค แทน มาเตโอ โควาซิช
เหมือนถูกตั้งค่าเอาไว้ไม่ใช่ตั้งแต่เริ่มเกม แต่มันเกิดขึ้นตั้งแต่เริ่มต้นซีซั่นที่การเปลี่ยนตัวของนายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนจะเป็นการเปลี่ยนแบบ "ตำแหน่งต่อตำแหน่ง" ไม่ว่าทีมจะอยู่ในสถานการณ์แบบไหนก็ตาม
โดยเฉพาะจังหวะที่เตรียมส่งกองหน้าอย่าง ชิรูด์ ลงมาเพิ่ม ในสถานการณ์ที่ตามหลังสองประตู แต่เมื่อชูป้ายกลับเป็น อีกวาอิน ที่โดนเปลี่ยนออกเล่นเอาแฟนบอลที่ตามไปเชียร์ส่งเสียงโห่ออกมา
เข้าใจว่าหัวหอกทีมชาติอาร์เจนติน่าแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย แต่ส่วนหนึ่งก็ต้องยอมรับว่าบอลมาไม่ถึงเลย เกมรุกริมเส้นทั้งสองฝั่งดูเหมือนว่ายังต้องใช้เวลาปรับจูนอีกเยอะเลยเพื่อความเข้าใจ ในขณะที่ตอนนี้แทบไม่มีเวลาให้ลองผิดลองถูกอะไรกันแล้ว
ซาร์รี่ ไม่มีการออกมาสร้างแรงกระตุ้นลูกทีมที่ข้างสนามเลย ซึ่งมันน่าแปลกที่ผู้เป็นกุนซือเคยออกมาให้สัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ว่าไม่รู้ว่าจะพูดยังไงให้นักเตะในทีมมีแรงกระตุ้นออกมา ทั้งที่มันเป็นหน้าที่ของโค้ชในการกระชากแรงจูงใจและความมั่นใจออกมาจากตัวนักเตะ
การได้กองหน้าคู่ใจอย่าง อีกวาอิน มาเสริมสร้างความชุ่มชื่นหัวใจให้กับแฟนบอล เชลซี ได้ดี แต่จากสองเกมที่ผ่านมาต้องบอกว่าผลงานห่วยแตกยิ่งกว่า อัลบาโร่ โมราต้า ที่โดนปล่อยตัวออกไปด้วยซ้ำ
หลังจบเกม เมาริซิโอ ซาร์รี่ ปิดห้องเงียบกับลูกทีมเกือบหนึ่งชั่วโมงเต็ม ไม่รู้ว่าพูดอะไรแต่คงจะไม่ใช่เรื่องที่บันเทิงเริงใจเป็นแน่
นายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนจำเป็นต้องกระชากความมั่นใจของนักเตะกลับมาโดยเร็วที่สุด เพราะโปรแกรมที่รออยู่ข้างหน้าถือเป็นดัชนีวัดความสำเร็จของทีมในซีซั่นนี้เลยก็ว่าได้ โดยเกมในสัปดาห์ถัดไปจะเจอกับ ฮัดเดอร์สฟิลด์ ในบ้าน ทีมจำเป็นต้องเก็บชัยชนะให้ได้ และต้องชนะแบบสวยๆด้วย
เพราะจากนั้นจะต้องไปเยือน แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ตามด้วยเยือน มัลโม่ ในยูโรปา ลีก รอบ 32 ทีมนัดแรก, พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเอฟเอ คัพ และเจอกับ มัลโม่ ในเกมเลกที่สองของบอลยุโรป
ก่อนสิ้นเดือนแห่งความรักทีมยังมีเกมชิงถ้วย คาราบาว ลีก คัพ กับ "เรือใบ" ปิดท้ายด้วยการเจอกับคู่แข่งแย่งโควต้าบอลยุโรปอย่าง สเปอร์ส รออยู่อีก
ถือว่าเป็นเดือนแห่งความรักที่โปรแกรมไม่ได้น่ารักเท่าไรเลยของทีมสีน้ำเงินแห่งกรุงลอนดอน ซึ่งมันอาจจะเป็นตัววัดเก้าอี้ของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ว่าจะมั่นคงไปตลอดรอดฝั่งหรือไม่
เพราะถ้าเกิดจับพลัดจับผลูไม่ชนะ ฮัดเดอร์สฟิลด์ แถมยังแพ้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อีกก็คงดูไม่จืด ไม่ต้องไปคิดถึงเกมถัดไปเลย
ถึงตอนนี้แฟนๆ เชลซี บางส่วนก็เริ่มจะไม่พอใจการทำงานของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ กันแล้ว แต่ก็มีอีกฝั่งที่ยังพร้อมให้การสนับสนุนอยู่
แต่นั่นก็เป็นตัวกระตุ้นให้อดีตเทรนเนอร์นาโปลีพาทีมเรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับมาให้ได้อย่างที่ได้รับการคาดหวังว่าจะพาทีมกลับมาเป็นสโมสรที่เบียดลุ้นแชมป์ไปจนถึงบั้นปลายของซีซั่นให้ได้
เพราะถ้าหากยังเป็นแบบนี้ต่อไป แฟนบอลในฝั่งที่จงรักภักดีและให้การหนุนหลังก็พร้อมจะย้ายไปอยู่อีกฝั่งได้เหมือนกัน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT