:::     :::

เละ!

วันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2562 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
2,255
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ชัยชนะถล่มทลายเหนือ ฮัดเดอร์สฟิลด์ 5-0 เมื่อสัปดาห์ที่แล้วช่วยคลายความหงุดหงิดให้กับเหล่าแฟนบอลสีน้ำเงินได้บ้างหลังทำงานหน้าโดน บอร์นมัธ อัดยับมาในเกมก่อนหน้า

         เหนือสิ่งอื่นใดก็คือการได้เห็น กอนซาโล่ อีกวาอิน ตะบันสองประตู ซึ่งนั่นน่าจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในรั้ว สแตมฟอร์ด บริดจ์ อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุด

         ความหวังในแดนหน้าที่ทีมโหยหามาตลอดฤดูกาลนี้แต่ได้มาเพียงความหงุดหงิดจาก อัลบาโร่ โมราต้า และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์

         แม้ก่อนหน้านี้ เอแด็น อาซาร์ จะทำได้ดีเมื่อถูกดันขึ้นไปยืนเป็น "ฟอลส์ ไนน์" แต่เราต่างก็รู้กันว่ามันไม่ใช่ตำแหน่งถนัด และบ่อยครั้งที่ทีมได้บุกแต่ข้างหน้าไม่มีคนอยู่เพราะสตาร์ทีมชาติเบลเยี่ยมขยับออกมารับบอลริมเส้น

         เพราะฉะนั้นการมี กอนซาโล่ อีกวาอิน เข้ามาแถมเริ่มคลำเป้าเจอก็เหมือนกับฝนที่ตกมาในยามแล้งของสิงโตแห่งกรุงลอนดอน

         แน่นอนว่าใครหลายคนคงค่อนขอดว่า ฮัดเดอร์สฟิลด์ อ่อนชั้นเกินกว่าจะวัดได้ว่าหัวหอกชาวอาร์เจนติน่าจะไปได้สวยในลีกฟุตบอลอังกฤษ

        

         อย่ากระนั้นเลย ศึกวัดศักยภาพของแท้อยู่ที่ เอติฮัด สเตเดี้ยม กับการเจอแชมป์เก่าอย่าง แมนเชสเตอร์ ซิตี้

         เมาริซิโอ ซาร์รี่ เปลี่ยนแปลงทีมสองคนจากเกมล่าสุดให้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ กลับคุมเซนเตอร์ร่วมกับ ดาวิด ลุยซ์ แทนที่ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ส่วนอีกตำแหน่ง เปโดร โรดริเกซ ได้เล่นก่อน วิลเลี่ยน ส่วนคนที่เหลือเหมือนเดิมทั้ง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, มาร์กอส อลอนโซ่, จอร์จินโญ่, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, รอสส์ บาร์คลี่ย์ รวมถึงในแดนหน้าอย่าง เอแดน อาซาร์ และ กอนซาโล่ อีกวาอิน

         เป้าหมายของทีมไม่มีอะไรมาก ทีมต้องการอย่างน้อยหนึ่งคะแนนเพื่อกลับไปอยู่ในอันดับ 4 อีกครั้ง หลังจากที่โดน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แซงขึ้นไปชั่วคราว ส่วน แมนฯ ซิตี้ ต้องการสามคะแนนอย่างเดียวเท่านั้นในเส้นทางลุ้นแชมป์

         ความพ่ายแพ้ 0-2 ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ในเกมแรกที่เจอกันเมื่อเดือนธันวาคมคือการแพ้เกมแรกในซีซั่นนี้ของทีม "เรือใบ" จนส่งให้พวกเขามีเป๋ไปเหมือนกัน

        

         แต่ก็มีสิ่งที่น่าห่วงในทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่แพ้เกมเยือนมา 3 เกมติดต่อกัน แถมยิงประตูไม่ได้อีกด้วย และแพ้ในการเล่นนอกบ้านมา 5 จาก 9 นัดหลังเลย

         "สิงห์บลูส์" ออกสตาร์ทอย่างสดใสเปิดเกมบุกใส่เจ้าถิ่น แต่จังหวะที่เผลอนิดเดียวกลับต้องสังเวยด้วยประตูจากจังหวะที่ เควิน เดอ บรอยน์ โดนทำฟาวล์ ขณะที่ เชลซี จัดเกมรับ เดอ บรอยน์ เล่นเร็วจ่ายมาทางขวาให้ แบร์นาร์โด้ ซิลวา หลุดเข้าเขตก่อนเปิดบอลแฉลบ ดาวิด ลุยซ์ บอลเลยมาถึง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ยิงสวนตูมเดียวเสียบตาข่าย 1-0 ตั้งแต่นาทีที่ 4

         และเมื่อดูจากภาพช้าก็ชัดเจนว่าเป็นความผิดพลาดของฝั่ง "สิงห์บลูส์" และก็เป็นหน้าที่รับผิดชอบของ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่ทิ้งพื้นที่ตัวเองเข้าไปตรงกลางซะเฉยๆ ทำให้ แบร์นาร์โด้ กลายเป็นอยู่คนเดียวก่อนนำมาซึ่งประตูออกนำ ทั้งที่ข้างในเพื่อนยืนกันเต็มไปหมด ขณะที่คู่แข่งมี เซร์คิโอ อเกวโร่ คนเดียวเท่านั้น

         เข้าใจแหละว่าอ่านเกมอยู่ แต่ว่าควรจะละเอียดกว่านี้ เหลียวไปดูหน่อยว่ามีใครอยู่รึเปล่า นี่เล่นทิ้งตำแหน่งมาแบบนี้ถ้าให้หาคนผิดก็ต้องรับไปเต็มๆ 


         สกอร์ควรจะขยับเป็น 2-0 ด้วยซ้ำไปถ้า "กุน" ไม่ทำหมูหกแปบอลบอลโล่งๆหลุดกรอบไป แต่สุดท้ายก็ไม่รอดโดน เซร์คิโอ อเกวโร่ ที่ยิงไกลสุดสวยนอกกรอบเสียบตาข่ายสวยงาม 

         ผ่านไปแค่หนึ่งในสามของครึ่งแรกการตามหลังสองประตูต้องบอกว่างานช้างเลย

         เท่านั้นไม่พอทีมยิงเล่นยิ่งรวนแถมยังมามอบของขวัญให้ เซร์คิโอ อเกวโร่ ซะอย่างนั้นในจังหวะที่ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ งัดบอลเข้าเขตโทษ ดาวิด ลุยซ์ โหม่งสกัดออกมาหน้าเขตโทษ แต่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ กลับโหม่งคืนกลับหลังดื้อๆ "กุน" ที่รออยู่แล้วกลับตัวตวัดยิงด้วยซ้ายบอลกลิ้งเข้าประตูไปนิ่มๆ

         จากที่พอได้ครองบอลบ้างกลายเป็นฝั่ง "เรือใบ" ที่ลงไปต่อบอลกันอย่างสบายใจ ปล่อยให้ เชลซี ขึ้นมาไล่ เห็นแล้วเสียวที่จะโดนสอยตาข่ายเพิ่มเพราะทีมต้องเปิดพื้นที่จากการที่ดันขึ้นไปไล่บอลคู่แข่ง

         แมนฯ ซิตี้ ทำอะไรเหมือนง่ายไปหมดจนมาได้สกอร์ที่สี่ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง เปิดบอลจากทางซ้ายเข้าเขตโทษ เซร์คิโอ อเกวโร่ จับบอลโดน อันโตนิโอ รือดิเกอร์ สกัดบอลมาหน้าเขตโทษ อิลคาย กุนโดกัน แปด้วยขวาเล่นทางบอลเสียบเสาเข้าไป

         เหมือนทำอะไรก็เป็นเรื่องง่ายไปหมดแล้ว

        

         ที่สำคัญคือแม้กระทั่งลูกตั้งเตะของ เชลซี ผู้เล่นของทางซิตี้ขึ้นมาบีบสูงถึงหน้าประตูเลย จะทำอะไรก็ไม่ถนัดอีก โอกาสจะแจ้งของ เปโดร โรดริเกซ ก็ดันยิงไปติด เอแดร์ซอน แบบง่ายไปหน่อย หรือจะลูกวอลเล่ย์ของ กอนซาโล่ อีกวาอิน ก็ไม่ผ่านมือของมือกาวเจ้าถิ่น

         การเปลี่ยนโอกาสเป็นประตูของฝั่งเจ้าบ้านเหนือกว่าชัดเจน ส่วนโอกาสใกล้เคียงของ เชลซี ชัดเจนว่ามาจากจังหวะที่ทำเกมบุกแบบฉับพลัน 

         ปัญหาคือการเซ็ตบอลมากจังหวะเกินไป และในเมื่อคู่แข่งคือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ไม่ใช่ ฮัดเดอร์สฟิลด์ การจัดเกมรับมันก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด

         เปิดครึ่งหลังไม่ถึงไม่เท่าไรเกือบจะโดนเพิ่มด้วยซ้ำ โชคดีที่ลูกโหม่งของ "กุน" ไปชนคาน ก่อน เมาริซิโอ ซาร์รี่ จะขยับเปลี่ยนตัวคนแรกเอา มาเตโอ โควาซิช ลงเล่นแทน รอสส์ บาร์คลี่ย์ (ตามฟอร์ม)

         แต่เกมรับที่เอาแนวรุกที่จัดจ้านของคู่แข่งไม่อยู่ก็นำมาซึ่งการเสียประตูอีกครั้ง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่เล่นงาน เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ได้ตลอดครึ่งแรกก็มาเรียกจุดโทษจากความเร็วที่เหนือกว่า และไม่ใช่ใครที่ไหน เซร์คิโอ อเกวโร่ สังหารเข้าไป เป็นแฮตทริคเกมที่สองติดต่อกันหลังเกมที่แล้วก็เพิ่งจัด อาร์เซน่อล มาสามดอก


         สองคนที่เหลือกับการเปลี่ยนตัว รูเบน ลอฟตัส-ชีค ลงมาแทน เปโดร โรดริเกซ ก่อนที่ เอแมร์อน มัลมิเอรี่ ลงมาแทน มาร์กอส อลอนโซ่ 

         ก็คงไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องการเปลี่ยนตัวกันแล้ว เพราะด้วยสกอร์ที่ตามหลังขนาดนี้คงเป็นไปไม่ได้ที่จะกลับมาได้

         บอลก็ยังคงอยู่ในการครอบครองของ แมนฯ ซิตี้ ที่ต่อบอลกันไปมา พอมีช่องก็เข้าทำ ถ้าไม่มีก็ไม่จำเป็นต้องไปเร่งจังหวะอะไร

         ถึงที เชลซี ครองบอลก็โดนบีบเร็ว ครั้นจะต่อบอลกันไม่กี่จังหวะก็เสียบอลไปอีก สุดท้ายโดน ดาบิด ซิลบา ที่ลงมาจ่ายทะลุช่องทางซ้ายอย่างงามให้ โอเล็กซานเดอร์ ซินเชนโก้ เปิดเข้ากลาง ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ที่อยู่โล่งๆแปจ่อๆเข้าไป ถือเป็นการยืนเกมรับที่ช่องโหว่เยอะจริงๆ

         จบเกมกับสกอร์ 0-6 ดูแล้วก็ถือว่าโหดร้ายเมื่อดูจากโอกาสและรูปเกมไม่ได้เป็นรองมากมายขนาดนั้น แต่จังหวะเข้าทำของ "เรือใบ" ต้องยอมรับว่าเฉียบขาดจริงๆ และมันก็กลายเป็นสถิติแพ้ด้วยสกอร์มากที่สุดของ เชลซี ในพรีเมียร์ลีกไปโดยปริยายเลย


         ความพ่ายแพ้ดังกล่าวส่งให้ เชลซี กระเด็นไปอยู่อันดับ 6 ของตารางแล้ว จาก 50 คะแนนที่เท่ากับ อาร์เซน่อล แม้ผลบวกประตูจะเท่ากัน แต่ทีม "ปืนใหญ่" ยิงได้มากกว่า

         จากออกสตาร์ทเยี่ยม แฟนบอลแอบหวังลุ้นแชมป์ มาลุ้นแค่พื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาจนถึงนาทีนี้คงไม่ง่ายซะแล้ว

         เกมรับในนัดนี้ของ เชลซี เผยให้เห็นถึงปัญหาโดยเฉพาะทางแบ็คทั้งสองฝั่งเมื่อเจอกับคู่แข่งที่มีความเร็วก็โดนเล่นงานอย่างที่เห็น การรับส่งบอลเท้าต่อเท้าก็เป็นรอง

         อีกอย่างที่เห็นได้ชัดก็คือการฝากให้ จอร์จินโญ่ ซึ่งเป็นหมากที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ วางเอาไว้ตั้งแต่ดึงตัวมาร่วมทีม แต่เมื่อคู่แข่งจับทางได้ตามจับกองกลางทีมชาติอิตาลีรายนี้ เกมรุกของทีมก็แทบจะหายไปเกือบครึ่ง

         ไม่ต้องพูดถึง เอแด็น อาซาร์ ที่เป็นเป้าในการตามจับของทางคู่แข่งอยู่แล้วไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม แต่จะอาศัยความมหัศจรรย์มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ

        

         ไม่ใช่ว่าเกมรุกไม่ได้ทำเกมบุก แต่ก็อย่างที่บอกว่าพอจังหวะช้าเกินไปก็โดนคู่แข่งลงมาแพ็คเกมแน่น พอเล่นเร็วบางครั้งไม่แม่นพอ บางครั้งได้จังหวะแต่เจาะตาข่ายไม่ได้ เล่นไปเล่นมามันก็ท้อเหมือนกัน

         เห็นสภาพแบบนี้กับโปรแกรมที่รออยู่ก็น่าห่วงว่า เชลซี จะกลับมาแบบไหน เพราะต้องลงเล่นครบทุกรายการที่ยังลุ้นอยู่เลยทั้งยูโรปา ลีก, เอฟเอ คัพ และรอบชิงชนะเลิศคาราบาว คัพ

         เอาแค่ตกรอบสักรายการกับชวดแชมป์ในการดวลกับ แมนฯ ซิตี้ (อีกหน) ไม่ใช่ว่ามันจะเป็นไปไม่ได้ด้วย เพราะในเอฟเอ คัพต้องเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่คึกเหลือเกิน

         แต่ถ้าจะร่วงหมดทุกรายการคงต้องบอกว่าดูไม่จืดเลย


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด