ก็สู้กันต่อไป
เพราะจากเกมแรกที่ถล่มมาแล้ว 3-0 ในรัง น่าจะชัดเจนกับการตีตั๋วผ่านเข้าสู่รอบต่อไปได้ก่อนที่จะบุกถล่มไม่เหลือซาก 5-0
คงน่าจะพอเรียกความมั่นใจกลับมาได้บ้างหลังเก็บหนึ่งคะแนนอย่างหืดจับในเกมล่าสุดที่ไล่ตีเสมอ วูล์ฟแฮมป์ตัน มา 1-1 ในช่วงสัปดาห์ที่แล้ว
การเยือน เอฟเวอร์ตัน ไม่ใช่เรื่องง่ายอยู่แล้ว แต่จากสถิติที่ทีม "ทอฟฟี่" ไม่ใช่ทีมจาก "บิ๊ก 6" ของตารางมาตั้งแต่ปี 2017 แสดงว่าพวกเขามีปัญหาในการเจอกับทีมที่เหนือกว่าอย่างชัดเจน
ทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ เริ่มต้นได้ดุดันจากแบบฉบับของตัวเอง เปิดเกมบุกตั้งแต่ต้นเกม โอกาสเน้นๆสองหนซ้อนของ เอแด็น อาซาร์ น่าจะได้สักหนึ่งประตู แต่กลายเป็นหนึ่งเซฟกับหนึ่งเสา ทำให้สกอร์ยังตรึงอยู่ที่ 0-0
นักเตะตัวหลักก็ได้พักมาเต็มที่ ทีมออกสตาร์ทอย่างดุดัน ครองบอลเข้าทำเหนือกว่าชัดเจน เพียงแต่ยังเจาะประตูไม่ได้เท่านั้น
ซึ่งจะว่าไปแล้วมันก็เหมือนกับที่เราได้เห็นกันอย่างชินตาตลอดฤดูกาลนี้ ครองเกมเหนือกว่า กดดันคู่แข่ง แต่ยิงได้หรือไม่ได้คืออีกเรื่องหนึ่ง
นั่นเป็นสาเหตุที่ทีมให้นายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนออกมาติงลูกทีมที่ครองบอลบุกแต่เดินเกมรุกช้าเกินไป สุดท้ายคู่แข่งลงไปตั้งรับและทีมก็หาช่องเข้าทำไม่ได้หรือได้น้อยมาก
แดนกลางตัดบอลได้ตลอด รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่กลับมาเยือนถิ่นเก่าโชว์ความมุ่งมั่นมากเป็นพิเศษท่ามกลางเสียงโห่ใส่ทุกครั้งที่ได้บอลจากแฟนทอฟฟี่ แต่ก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไรนัก
ตัวรุกอย่าง เอแด็น อาซาร์ และ เปโดร โรดริเกซ สลับกันขึ้นเกมอย่างสนุกแฟนทีมเยือน แต่ก็ได้แค่สนุก แต่จังหวะตื่นเต้นมีให้เห็นน้อยมาก
กอนซาโล่ อีกวาอิน ได้บอลน้อยมากจากทั้ง อาซาร์ และ เปโดร จะบอกว่าน่าสงสารนั่นก็ใช่ แต่เมื่อมีโอกาสในจังหวะที่หลุดกับดักล้ำหน้าไปก็ไปโยนโอกาสทิ้งไปอีกนั่นแหละ
เหมือนความไว้เนื้อเชื่อใจในเกมรุกของ เชลซี มันขาดหายไป บวกกับการยืนเกมรับที่เหนียวแน่นของ เอฟเวอร์ตัน ทำให้นอกจากสองจังหวะในช่วง 5-6 นาทีแรกของ อาซาร์ ที่เหลือก็ไม่ได้มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไรนัก
อย่างที่เห็นกันมาตลอดทั้งฤดูกาล เชลซี เล่นเกมรุกช้า เน้นการเซ็ตบอลตั้งแต่แดนหลัง ซึ่งกว่าจะบุกขึ้นมาคู่แข่งเค้าลงไปกันหมดแล้ว
ทั้งที่ทีมมีแนวรุกที่มีความเร็วอย่าง อาซาร์ และ เปโดร หรือจะบวก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เข้าไปด้วยก็ได้ แต่ในจังหวะสุดท้ายมันเหมือนว่าพวกเขาขาดความเข้าใจกันยังไงก็ไม่รู้
การครองบอลเป็นเรื่องดี พอเสียบอลแล้วบีบเกมสูงบีบให้คู่แข่งเปิดบอลยาวแล้วเก็บบอลกลับมาก็เป็นเรื่องดีเช่นกัน แต่ก็อย่างที่ ซาร์รี่ บอกว่าเกมรุกของทีมเดินหน้ากันช้าเกินไป ซึ่งดูแล้วอาจจะแก้ไขได้ยากในซีซั่นนี้แล้ว อาจจะต้องไปเริ่มกันใหม่ในฤดูกาลหน้า (ถ้า ซาร์รี่ ยังอยู่ในตำแหน่ง)
โอกาสในการเข้าทำในครึ่งแรกเกือบทั้งหมดมาจากจังหวะสวนกลับเร็วและจบลงด้วยการลุ้นประตู เพียงแต่มันไม่ได้ สกอร์ 0-0 ในครึ่งแรกอาจจะเป็นความโชคดีของ เอฟเวอร์ตัน แต่ถ้าเจาะจงให้ลึกลงไปในรายละเอียดก็ต้องบอกว่า เชลซี นี่แหละที่ขาดความดุดันกันไปเอง
ที่สำคัญก็คือจังหวะส่วนใหญ่มาจากการยิงนอกกรอบ จะบอกว่าคู่แข่งตั้งรับแน่นหรือทีมไม่มีปัญหาเจาะเข้าไปก็แล้วแต่ความคิดใครความคิดมัน
แต่เริ่มครึ่งหลังช่วงออกสตาร์ทกลับเป็นหนังคนละม้วน เชลซี ที่โหมช่วงต้นเกมกลับเป็น เอฟเวอร์ตัน ที่โหมต้นของครึ่งหลังบ้าง เพียงแต่ลูกทีมของ มาร์โก ซิลวา ได้ประตูขึ้นนำ
นอกจากเกมของ เชลซี จะช็อตไป ความมั่นใจของแข้งเจ้าถิ่นก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จริงอยู่ "สิงห์บลูส์" มีความคล่องตัวมากกว่าแต่ที่ "ทอฟฟี่" มีก็คือความใจสู้และความมีระเบียบทำให้ทีมแม้จะเป็นรองแต่ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้
การเปลี่ยนตัวของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ถอด รอสส์ บาร์คลี่ย์ ออกแล้วให้ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ลงแทน ก็เป็นไปตามตำแหน่ง แต่การเอา โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงแทน กอนซาโล่ อีกวาอิน ตามตำแหน่งเหมือนกันดูจะน่าขัดใจอยู่บ้าง
เพราะด้วยสกอร์ที่กำลังตามหลังการเปลี่ยนกองหน้าลงมาแทนกองหน้าอาจจะทำให้แฟนบอลรู้สึกว่าทีมไม่สู้เท่าที่ควร
และหลังจากเปลี่ยนตัวไม่เท่าไรทีมมาสังเวยประตูที่สองอีก ยิ่งทำให้ต้องบุกมากขึ้น ในขณะที่ในแนวรุกมีตัวเท่าเดิม ทำให้ ซาร์รี่ เลือกถอด จอร์จินโญ่ ออกเหมือนเกมที่แล้วโดยส่ง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ลงมาแทน พร้อมปรับมาเล่น 4-2-3-1 เหมือนในเกมกับ วูล์ฟส์
แต่การตามหลังสองประตูและการเล่นเกมเยือนบวกกับคู่แข่งคือ เอฟเวอร์ตัน แล้ว มันคงจะไม่ใช่รูปแบบที่จะใช้ได้ผลอยู่เรื่อยๆ
ฮัดสัน-โอดอย ลงมาป่วนเกมรับคู่แข่งได้ดีแถมมีจังหวะเลี้ยงตัดเข้ากลางไปยิงไกลสวยๆ เห็นแล้วก็คิดว่า เปโดร มีดีกว่าตรงไหน ซึ่งเราก็ไม่อาจจะเข้าใจสิ่งที่กุนซือคิด
ความพ่ายแพ้ 0-2 มีจุดที่ต้องให้ติมากจริงๆในเกมนี้ของ เชลซี โดยเฉพาะเกมรับที่ดูเหมือนว่าจะไม่ได้เป็นปราการที่แข็งแกร่งในแบบฉบับอิตาเลี่ยนซะแล้ว
เห็นการเล่นของ มาร์กอส อลอนโซ่ แล้วก็ชัดเจนว่าทำไมเขาถึงสมควรโดนถอดเป็นสำรอง เหมือนว่าตอนนี้นอกจากฟอร์มจะย่ำแย่แถมความมั่นใจหดหาย การเติมเกมรุกห่วยแตกแถมเกมรับก็หลุดตำแหน่งอยู่เสมอ สภาพร่างกาย ความฟิตดูจะแตกต่างจากเมื่อต้นฤดูกาลเป็นคนละคน
อีกคนที่ดูเหมือนจะรอดจากการโดน "ด่า" เพราะมักไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ในฐานะกัปตันทีม หน้าที่ที่เห็นว่าทำได้ดีที่สุดคือการเข้าไปเถียงกรรมการยามไม่เห็นด้วยที่ทีมเสียฟาวล์ที่เหลือจะบอกว่าไม่ต่างจาก อลอนโซ่ เท่าไรก็คงจะไม่เกินไป
แบ็คขวาชาวสเปนอาจจะมีจุดแข็งที่ความขยัน เล่นเกมรับพอได้ แต่เกมรุกตอนนี้กลายเป็นจุดอ่อนของทีมไปแล้ว การเติมเกมรุกของ อัซปิลิกวยต้า ถ้าไม่จบลงด้วยการจ่ายคืนเพื่อน ก็เป็นการเปิดบอลติดคู่แข่งแทบจะตลอด การเปิดบอล 10 ครั้ง จะมีแค่สักหนที่ได้ลุ้น ที่เหลือถ้าไม่ติดบล็อคก็โยนเลยหลุดเสาสองออกไปไกล
ที่คนมองข้ามอาจจะเพราะยามที่ทีมไหนเจอกับ เชลซี มักจะเจาะทางซ้ายของ อลอนโซ่ ที่มักเปิดพื้นที่มากกว่า
ส่วนคู่เซนเตอร์ที่เคยแข็งแกร่ง แต่พอเจอกับคู่แข่งที่มีความเร็วก็เสียการทรงตัวให้เห็นอยู่ตลอด
กองกลางทำได้แค่ส่งต่อลูกบอลให้เกมรุก, เกมรุกเจาะไม่เข้ายิงไกลก็หวังผลได้ยาก ส่วนกองหน้าไม่ต้องพูดถึง จะได้บอลแต่ละทีลำบากยากเย็น
ถึงตอนนี้เหลือการแข่งขันอีก 8 เกม กับแต้มที่ตามหลัง อาร์เซน่อล เพียง 3 คะแนนต้องบอกว่า "ไม่เยอะ" แต่จากทรงบอลที่ออกมาก็ให้น่าเป็นห่วงว่า เชลซี จะเบียดแย่งพื้นที่กับคู่แข่งไหวหรือเปล่า
เพราะดูจากโปรแกรมต้องไปเยือนทั้ง ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่ต้องบอกว่า "หนัก" ส่วนที่เหลือก็ต้องบอกว่าจากฟอร์มการเล่นที่คาดเดาไม่ได้ ทีมก็พร้อมที่จะแพ้ได้ทุกทีมเหมือนกัน
แต่ด้วยคะแนนที่ตามหลังอยู่ไม่มากก็ต้องบอกว่า เชลซี ยังคงมีโอกาสกับความหวังในการคว้าท็อปโฟร์ไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลหน้า
แต่ถ้าหากว่ามันไม่ดีก็คงต้องหันไปลุ้นโควต้าจากแชมป์ยูโรปา ลีกแทนกันล่ะ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT