ลิเวอร์พูล-เชลซี กับเกมในความทรงจำ
แม้ว่าการลุ้นพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือว่า "ท็อปโฟร์" จะเป็นการแข่งขันที่แฟนบอลให้ความสนใจอยู่เหมือนกัน แต่นาทีนี้คงต้องหลีกทางให้กับการไล่ล่าแชมป์กันก่อน
ทั้ง "เรือใบ" และ "หงส์แดง" มีโปรแกรมลงเล่นในวันอาทิตย์ด้วยกันทั้งคู่ โดยที่ซิตี้จะลงสนามก่อนในคู่แรกด้วยการบุกไปเยือน คริสตัล พาเลซ ก่อนที่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ จะทำศึกใหญ่กับ เชลซี
กับคะแนนที่ตามหลังอยู่ 2 แต้ม แต่แข่งน้อยกว่าหนึ่งเกม หากทัพเรือของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หยิบชัยชนะจาก พาเลซ ได้ก็จะแซงขึ้นไปนำเป็นจ่าฝูง บีบให้เครื่องจักรสีแดงต้องกำชัยเหนือ "สิงห์บลูส์" ให้ได้
แต่การเจอกันที่แอนฟิลด์เที่ยวนี้ที่มีแชมป์ลีกเป็นเดิมพัน แน่นอนว่าแฟนบอล เชลซี คงหยิบยกเรื่องราวเมื่อ 5 ปีที่แล้วขึ้นมาล้อเลียนกันอย่างสนุกสนาน
เชื่อว่าทุกคนคงจำกันได้กับการ "ลื่น" ครั้งประวัติศาสตร์ของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ในเกมที่แอนฟิลด์เมื่อฤดูกาล 2013/14 กับการพบ เชลซี เกิดขึ้นในเกมที่ 36 ของฤดูกาล ในขณะที่ ลิเวอร์พูล นำเป็นจ่าฝูงของตารางคะแนน แต่ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ 0-2
มันลามไปถึงเกมที่ 37 ที่ทีมเป๋ต่อด้วยการเสมอ คริสตัล พาเลซ สุดท้ายเสียแชมป์ให้กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ อย่างเจ็บช้ำใจ
ใช่ครับ มันคือเหตุการณ์ครั้งหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก อังกฤษที่จะยังมีคนพูดถึงไปอีกนานแสนนาน และเกมในวันอาทิตย์นี้คงไม่แปลกหากพลพรรคสีน้ำเงินที่ตามไปเชียร์ถึงแอนฟิลด์จะพากันร้องเพลงเยอะเย้ยคู่แข่งอย่างสนุกปาก
นี่อาจจะเป็นเกมที่คนนึกถึงมากที่สุดเมื่อพูดถึงการพบกันระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เชลซี แต่ก็ยังมีอีกหลายเกมที่มีความสำคัญและเป็นที่จดจำ หรืออาจจะบอกว่าเป็นเกมที่เข้มข้นสำหรับคู่นี้เลย
เชลซี 2-1 ลิเวอร์พูล
ฤดูกาล 2002/03
เกมสุดท้ายของซีซั่น
อาจจะบอกได้ว่าเกมนัดนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความยิ่งใหญ่ของ เชลซี ที่ก้าวขึ้นมาเป็นทีมชั้นนำของประเทศจวบจนกระทั่งถึงปัจจุบัน
เกมสุดท้ายของฤดูกาล 2002/03 เชลซี ต้องเปิดบ้านรับการมาเยือนของ ลิเวอร์พูล ซึ่งเดิมพันคือตำแหน่งอันดับ 4 ของตาราง ซึ่งหมายถึงพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่จะทำเงินเข้าสโมสรหลายสิบล้านปอนด์
ทั้งสองทีมมีคะแนนเท่ากัน แต่ทางฝั่ง "สิงห์บลูส์" เหนือกว่าด้วยผลต่างประตูได้-เสีย ทำให้ทางฝั่ง "หงส์แดง" ต้องการชัยชนะเท่านั้นหากหวังคว้าตั๋วลุยถ้วยใหญ่ของยุโรป
ทุกอย่างดูไปได้สวยของฝั่งทีมเยือนเมื่อได้ประตูออกนำก่อนในนาทีที่ 11 จาก ซามี ฮูเปีย แต่เพียงแค่สามนาทีให้หลังก็โดนตีเสมอจาก มาร์กเซล เดอไซยี่ ก่อนที่ เยสเปอร์ โกรนชาร์ จะมาพังประตูชัยให้เจ้าบ้านชนะไปได้ 2-1 คว้าอันดับ 4 พร้อมตั๋วลุยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ส่วน ลิเวอร์พูล ทำได้แค่เล่นในถ้วยยูฟ่า คัพ (เดิม) เท่านั้น
สองเดือนให้หลัง โรมัน อบราโมวิช เข้าเทคโอเวอร์ เชลซี ด้วยเงิน 140 ล้านปอนด์ ก่อนทุ่มทุนมหาศาลซื้อดาวดังมาร่วมทีมเสกให้ทีมสิงโตแห่งกรุงลอนดอนกลายเป็น "สิงโตติดปีก" ภายในพริบตา
จนถึงตอนนี้กับระยะเวลาเกือบ 16 ปีนับตั้งแต่ "เสี่ยหมี" เข้าซื้อกิจการสโมสร ทีมคว้าแชมป์มาแล้ว 18 รายการ
ลิเวอร์พูล 2-3 เชลซี
ฤดูกาล 2004/05
ปีดับเบิ้ลแชมป์ของ โชเซ่ มูรินโญ่
การมาของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่เพิ่งพา ปอร์โต้ ผงาดคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครอง พร้อมประกาศตนว่าเป็น "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" ช่วยสร้างสีสันให้วงการฟุตบอลอังกฤษทวีความน่าสนใจยิ่งกว่าเดิม
และปีแรกก็พาทีมตะลุยเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศในศึกคาร์ลิ่ง คัพ (คาราบาว คัพ ในปัจจุบัน) โดยรอบรองชนะเลิศโค่นทีมแกร่งอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เข้ามาเจอกับ ลิเวอร์พูล ในเกมชิงถ้วย ถือเป็นรายการที่นายใหญ่ชาวโปรตุเกสหวังนำมาให้แฟนบอลในเชยชมหลังจากที่เพิ่งตกรอบศึกเอฟเอ คัพมาในสัปดาห์ก่อนหน้านั้น
เพียงแค่ 45 วินาทีของเกม ลิเวอร์พูล ได้ประตูขึ้นนำ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ วอลเล่ย์ประตูสุดสวยให้ "หงส์แดง" ออกนำก่อนและตรึงสกอร์จนถึงนาทีที่ 79 เชลซี ก็มาได้ประตูแบบมีโชคจากจังหวะฟรีคิกตักเข้าเขตโทษ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ไปแย่งโหม่งกับ ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ แบบไม่ให้เสียงกันบอลลอยเข้าประตูไป ทำให้จบ 90 นาทีเสมอกัน 1-1 ต้องต่อเวลาออกไป
และในช่วงต่อเวลาเป็น "สิงห์บลูส์" ที่ขึ้นนำบ้างจากลูกทุ่มของ เปาโล แฟร์เรยร่า ทางกราบขวาเข้าเขตโทษ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ใช้ความแข็งแกร่งเอาบอลลงก่อนยิงจ่อเข้าไปนาทีที่ 107 ตามด้วยประตูของ มาเตย่า เคซมัน ที่ซ้ำลูกยิงของ ไอเดอร์ กุ๊ดยอห์นเซ่น จ่อๆเข้าไป นาทีที่ 112 แม้ อันโตนิโอ นูนเญซ มายิงให้ทีมไล่เป็น 2-3 ในอีกนาทีให้หลัง แต่ก็ไม่ทันการณ์ จบเกม เชลซี ชนะ 3-2 คว้าแชมป์ไปครองและเป็นแชมป์แรกของ มูรินโญ่ กับทีม
ในปีนั้นเขายิงพาทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกพร้อมสร้างมาตรฐานะสูงลิบ เป็นการคว้าดับเบิ้ลแชมป์อย่างยิ่งใหญ่
ลิเวอร์พูล 1-0 เชลซี
ฤดูกาล 2004/05
"ประตูผี" ของ หลุยส์ การ์เซีย
อีกหนึ่งเหตุการณ์ที่โด่งดังและเป็นวิวาทะอันเผ็ดร้อนของ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่พูดถึง "ประตูผี" ของ หลุย์ การ์เซีย
ในปีเดียวกับที่ เชลซี เอาชนะ ลิเวอร์พูล ในศึกคาร์ลิ่ง คัพ, ทั้งสองทีมยังโคจรมาพบกันในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบรองชนะเลิศ ซึ่งนัดแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์จบลงด้วยการเสมอกันไป 0-0
แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกมสองนี่เองที่ทำให้ มูรินโญ่ รวมนักเตะและแฟนบอลเชลซีอารมณ์ "ขึ้น" ถึงขีดสุด และเป็นการสร้างให้สองทีมนี้ลงชื่อเป็นคู่แค้นที่เจอกันทีไรต้องมีเรื่องราวให้พูดถึง
เมื่อเกมดำเนินมาถึงนาทีที่ 4 สตีเว่น เจอร์ราร์ด ชิ่งจังหวะเดียวให้ มิลาน บารอส สปีดเข้าไปจิ้มบอลข้าม ปีเตอร์ เช็ก แต่บอลลอยโด่งอยู่ไม่ไปไหน หลุยส์ การ์เซีย ปราดเข้าซ้ำบอลลอยเข้ากรอบ วิลเลี่ยม กัลลาส สปีดเข้ามาเตะสกัดบอลออกไป แต่ผู้ตัดสินเป่าให้ลูกนี้เป็นประตูและมันก็เป็นประตูเดียวของเกมให้ ลิเวอร์พูล ชนะด้วยสกอร์รวม 1-0 ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ ก่อนไปสร้างประวัติศาสตร์โค่น เอซี มิลาน คว้าแชมป์ไปครอง
แน่นอนว่าสำหรับ เชลซี แล้ว โดยเฉพาะทางฝั่ง มูรินโญ่ ยืนยันว่าลูกนี้ไม่เป็นประตูแน่นอน และไม่มีกล้องตัวไหนจับภาพได้ว่าลูกนี้เข้าประตูเต็มใบ
จากเกมนี้ทำให้เกิดวิวาทะอันลือลั่นจากนายใหญ่ชาวโปรตุกีสว่านี่คือ "ประตูผี" ที่ไม่ได้หมายถึงผู้รักษาประตูของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่อย่างใด
ลิเวอร์พูล 2-2 เชลซี
ฤดูกาล 2012/13
แฟนบอลอังกฤษได้รู้จัก "จอมกัด"
อีกหนึ่งเกมที่แฟนบอลทั้ง ลิเวอร์พูล และ เชลซี น่าจะจำกันได้เป็นอย่างดี ซึ่งเป็นครั้งแรกจากจังหวะ "กัดบันลือโลก" ของ หลุยส์ ซัวเรซ
เกมที่แอนฟิลด์เป็น "สิงห์บลสู์" ที่ขึ้นนำก่อนนาทีที่ 26 จังหวะเปิดบอลเข้าเขตโทษของ ฆวน มาต้า ก่อนที่ ออสการ์ จะโหม่งที่เสาแรกเข้าไป ก่อนที่ในครึ่งหลัง สจ๊วร์ต ดาวนิ่ง จะไหลบอลทะลุช่องให้ แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ แปจ่อๆเข้าไปเป็น 1-1 นาทีที่ 52
แต่คล้อยหลังแค่ 5 นาทีผู้มาเยือนก็มาได้จุดโทษจังหวะที่ หลุยส์ ซัวเรซ จะไปจงใจทำแฮนด์บอลก่อนที่ เอแด็น อาซาร์ จะสังหารให้ เชลซี ออกนำอีกครั้ง
ดูเหมือนว่า ซัวเรซ จะเป็นผู้ร้ายเต็มตัวจังหวะที่จะพยายามเลี้ยงบอลผ่าน บรานิสลาฟ อีวาโนวิช แต่ติด ไม่รู้ว่าตอนนี้เจ้าตัวคิดอะไรกระชากแขนของกองหลังคู่แข่งมาเขมือบเข้าไปอย่างหมั่นเขี้ยวแต่ก็โดนตบกะโหลกไปหนึ่งทีเหมือนกัน ดีที่ผู้ตัดสินไม่ว่าอะไร ถ้าเป็นใบเหลืองจะเป็นเหลืองที่สองแน่นอนหลังโดนใบแรกในจังหวะเสียจุดโทษไปแล้ว
ทว่าท้ายที่สุดแล้วในช่วงทดเจ็บที่ยาวนานในนาทีที่ 7 หลุยส์ ซัวเรซ ก็มาแก้ตัวด้วยการโหม่งตีเสมอให้ทีมได้สำเร็จ
ลิเวอร์พูล 0-2 เชลซี
ฤดูกาล 2013/14
สตีเว่น เจอร์ราร์ด ลื่นโลกไม่ลืม
นี่คือฤดูกาลที่ ลิเวอร์พูล เข้าใกล้กับการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมากที่สุด จะบอกว่ามากกว่าฤดูกาลปัจจุบันนี้ด้วยซ้ำ
หลังผ่าน 35 เกมมีทีมลุ้นแชมป์อยู่ 3 ทีม ลิเวอร์พูล นำเป็นจ่าฝูงด้วยการมี 80 คะแนน ตามด้วย แมนฯ ซิตี้ 77 คะแนน และ เชลซี ที่มี 75 คะแนน ซึ่งทาง "หงส์แดง" ต้องการ 7 คะแนนจาก 3 เกมเพื่อการันตีคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 24 ปี
เกมที่ 36, ลิเวอร์พูล มีคิวเปิดแอนฟินด์ต้อนรับการมาเยือนของ เชลซี ซึ่งทั้งคู่ต่างก็ต้องการแต้มโดยเฉพาะฝั่งทีมเยือนที่ต้องชนะสถานเดียวหากหวังลุ้นแชมป์ในช่วงที่เหลือ
และในช่วงเวลาที่ไม่ควรเสียประตูที่สุด, เกิดขึ้นในจังหวะที่ไม่ควรพลาดที่สุด แต่มันก็เกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก สตีเว่น เจอร์ราร์ด ดันจับบอลลั่นแถมยังลื่นในแดนตัวเองชนิดที่ไม่มีใครอยู่ข้างหลังโดน เดมบ้า บา ฉกบอลกระชากเข้าไปยิงผ่าน ซิมง มินโญเล่ต์ เข้าไปเป็น 1-0 ก่อนที่ วิลเลี่ยน จะตอกฝาโลกในนาทีสุดท้ายของครึ่งหลังให้ผู้มาเยือนชนะ 2-0
สามคะแนนที่ได้เปรียบ "เรือใบ" กลายเป็นคะแนนเท่ากันแถมประตูได้เสียเป็นรองถึง 9 ลูกในอีกสองเกมที่เหลือ และยังมาตกม้าตายอีกในเกมที่ 37 เมื่อไปเสมอ คริสตัล พาเลซ สุดท้ายซิตี้คว้าชัยสองเกมรวดคว้าแชมป์ไปครอง ส่วน เชลซี จบที่อันดับ 3
เรื่องนี้ไม่ใช่แค่แฟนเชลซีที่ล้อเลียนกัน แต่มันยังรวมถึงแฟน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด รวมถึงแฟน "เรือใบ" ที่กำลังแย่งแชมป์กันอยู่จะหยิบเรื่องการลื่นของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด ขึ้นมาเป็นเรื่องขบขันได้ไม่รู้จบ
จนกว่าจะถึงวันที่ ลิเวอร์พูล ก้าวไปถึงตำแหน่งแชมป์พรีเมียร์ลีก น่าจะทำให้พวกเขาได้บรรเทาความผิดหวังและความเจ็บปวดนี้ไปได้บ้าง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT