หรือจะไปเอาดีในยูโรปา ลีก
การจัดทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ถือว่ามีเซอร์ไพรส์เหมือนกันเมื่อทั้ง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค สองดาวรุ่งได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมนี้ รวมถึง เอแมร์ซอน ที่ได้เป็นตัวจริงในตำแหน่งแบ็คซ้าย ขณะที่ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่พังประตูชัยให้ทีมในเกมกับ สลาเวีย ปราก ไม่มีชื่อแม้กระทั่งตัวสำรอง
ในรายของ เอแด็น อาซาร์ กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่ต้องออกแรงลงเล่นเป็นสำรองในยูโรปา ลีก กลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้ง โดยเฉพาะในรายแรกที่รับบทกองหน้าแบบ "ฟอลส์ ไนน์" อีกครั้งในนัดนี้จากสถิติที่มีส่วนร่วมกับประตูของทีมมากที่สุดในลีกด้วยจำนวน 28 ลูก แบ่งเป็นการยิง 16 ประตูและแอสซิสต์อีก 12 ลูก ส่วน ดาวิด ลุยซ์ ได้พักมาเต็มๆออกสตาร์ทเช่นกัน
ตัวหลักคนอื่นอย่าง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า, เซซ่าร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, จอร์จินโญ่ และ วิลเลี่ยน ลงสนามพร้อมหน้า
ถือเป็นการตัดสินใจที่น่าจะถูกใจแฟนบอลบ้างกับการได้เห็นสองดาวรุ่งอย่าง ฮัดสัน-โอดอย กับ ลอฟตัส-ชีค ลงสนามในเกมนี้ ในเกมที่ต้องบดบี้กับเกมของ "หงส์แดง" ความฟิตถือเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก
เช่นเดียวกับในตำแหน่งแบ็คซ้าย ชัดเจนกับการที่ ซาร์รี่ เลือกให้ อลอนโซ่ ลงเล่นเต็มเกมในบอลยุโรป มันหมายความว่าน่าจะไม่ได้ลงเล่นเกมนี้ค่อนข้างแน่ และการที่ตำแหน่งนี้จะต้องเจอกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ดังนั้นความฟิตและความแข็งแกร่งจึงจำเป็นและ ณ ตอนนี้ เอแมร์ซอน ถูกมองน่าจะทำได้ดีกว่า
ก่อนเริ่มเกมมีการยืนไว้อาลัยถึงโศกนาฎกรรมฮิลส์โบโร่เมื่อ 15 เมษายน 1989 ซึ่งในปีนี้ถือเป็นการครบรอบ 30 ปีพอดี
หลังจากเริ่มเกมรูปแบบการยืนเห็นได้ชัดเจนโดยเฉพาะยามตั้งรับทั้ง วิลเลี่ยน และ ฮัดสัน-โอดอย ต้องลงไปช่วยแบ็คทั้งสองข้าง เพราะต้องยอมรับในเรื่องเกมรุกทางริมเส้นของ ลิเวอร์พูล ในซีซั่นนี้ว่าสุดอันตราย โดยเฉพาะในจังหวะเข้าทำที่มีทั้งลูกเปิดจากริมเส้นรวมถึงทะลวงเข้าเขตโทษ
เมื่อเป็นแบบนั้นจังหวะบุกของ เชลซี ยามได้บอลแฟนสิงห์บลูส์เลยต้องเห็น เอแด็น อาซาร์ โดดเดี่ยวและต้องพยายามไปเองอยู่บ่อยครั้ง
มันทำให้เกมอยู่ในการครอบครองของเจ้าบ้านที่บุกเป็นส่วนใหญ่ แต่ทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ก็ได้ลุ้นจากเกมโต้กลับมีเน้นๆอยู่บ้างจากจังหวะ ของ เอแด็น อาซาร์ ที่รับบอลจาก วิลเลี่ยน ในเขตโทษด้านซ้ายก่อนล็อคอยู่ 2-3 จังหวะเพื่อหาช่องยิง แต่ดันไปเลือกยิงมุมแคบและน้ำหนักก็ไม่ได้แรงมาก อาลีสซง ก็รับเข้ามือสบาย
อีกครั้งในจังหวะโต้กลับที่ ดาวิด ลุยซ์ เปิดบอลยาวให้ วิลเลี่ยน ใช้ความเร็วสปีดพาบอลมาถึงหน้าเขตโทษจนหาช่องสับไกแต่บอลก็ไม่เข้ากรอบ ซึ่งในจังหวะนี้ก็มี อาซาร์ ที่วิ่งประคองไปด้วยและรอรับบอลอยู่แต่สตาร์บราซิลเลือกยิงเอง
สกอร์ 0-0 ในครึ่งแรกถือว่าน่าพอใจสำหรับ เชลซี ที่ต้องตั้งเกมรับเกือบตลอด แต่ก็ไม่ปล่อยให้ ลิเวอร์พูล ได้โอกาสจะแจ้งในการเข้าทำ มีแค่ช่วง 5 นาทีแรกที่ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ได้วอลเล่ย์ด้วยซ้ายที่บอลตรงตัว เกปา
เข้าครึ่งหลังแค่ 6 นาที ลิเวอร์พูล เปิดฉากกดดันใหญ่จนนำมาซึ่งประตูขึ้นนำจากเกมบุกทางซ้าย จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ตักบอลไปที่เสาสองตรงนั้น ซาดิโอ มาเน่ ยืนอยู่คนเดียวกระโดดขึ้นโหม่งเข้าไปให้ทีมนำ 1-0
เห็นได้ชัดว่าการยืนเกมรับในจังหวะนี้หละหลวมจริงๆ นักเตะเทกันไปหมดจนปล่อยให้ ซาเน่ ยืนคนเดียวโล่งๆอย่างนั้น การเสีย อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่เจ็บในครึ่งแรกเริ่มส่งผลให้เห็น
และอีกแค่สองนาทีให้หลัง เชลซี มาเสียประตูที่สองแบบต้องปรบมือให้ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่พาบอลจากขวาตัดเข้ากลางแล้วกดเต็มข้อบอลพุ่งเสียบตาข่ายอย่างสวยงาม
ไม่ถึง 10 นาทีกับการเสียสองประตู และจากรูปเกมที่เป็นรองอยู่แล้ว แทบจะต้องบอกว่าทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ คงไม่รอดพ้นความพ่ายแพ้ในเกมนี้ไปได้
กอนซาโล่ อีกวาอิน ถูกส่งลงมาในแดนหน้าแล้วถอด คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่แทบไม่ได้บอลเลยออกไป พร้อมขยับ เอแด็น อาซาร์ มาทำเกมทางซ้ายเหมือนเดิม
"สิงห์บลูส์" น่าจะได้ประตูตีไข่แตกอย่างที่สุดๆสองครั้งติดต่อกันก่อนหนึ่งชั่วโมงเมื่อ เอแด็น อาซาร์ ได้จังหวะหลุดเดี่ยวและยิงผ่าน อาลีสซง ไปแล้วแต่บอลพุ่งชนเสาอย่างน่าเสียดาย อีกครั้ง วิลเลี่ยน เปิดบอลจากทางขวามาหน้าประตู อาซาร์ สอดมาแปด้วยขวาจ่อๆไปติด อาลีสซง อีก
หลังจากสองจังหวะติดๆที่ไม่ได้ประตูเกมของทีมก็เนือยลงไปอีกครั้ง ก่อนที่ช่วง 15 นาทีสุดท้ายก็เอา รอสส์ บาร์คลี่ย์ ลงมาแทน รูเบน ลอฟตัส-ชีค
เป็นอีกครั้งที่การเปลี่ยนตัวของ ซาร์รี่ ไม่ได้เป็นการเพิ่มเติมนักเตะเกมรุกในสถานการณ์ที่เป็นรอง แม้ว่า บาร์คลี่ย์ จะสอดมาเล่นเกมรุกได้ดี ขณะที่ข้างสนามยังมี โอลิวิเยร์ ชิรูด์ กองหน้าอีกคน
สุดท้ายไม่มีปาฎิหารย์อะไร เชลซี พบกับความพ่ายแพ้และมีโอกาสที่จะเสียอันดับ 4 ของตารางหาก อาร์เซน่อล เก็บชัยชนะเหนือ วัตฟอร์ด ได้ในเกมวันจันทร์
จากเกมนี้ทำให้เห็นว่า เมาริซิโอ ซาร์รี่ คิดถูกอยู่อย่างหนึ่งก็คือทั้ง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ยังไม่พร้อมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลักของทีมได้ โอเคในการเจอกับทีมเล็กๆหรือในยูโรปา ลีกที่ต้องบอกว่าปีนี้ เชลซี เจอกับคู่แข่งที่ไม่ได้แข็งอะไรนัก ทั้งคู่ทำผลงานได้อย่างน่าประทับใจ
แต่เมื่อเจอกับเกมที่บีบคั้นและกดดันแบบนี้ ทั้งคู่แทบจะหายไปจากเกม ฮัดสัน-โอดอย สัมผัสบอลแทบจะนับครั้งได้ จังหวะเก่งที่เลี้ยงบอลแหวกแนวรับคู่แข่งไม่มีให้เห็น เรื่องยิงไม่ต้องพูดถึง
โอเคทีมอาจจะเล่นเกมรับมากกว่าและบ่อยครั้งเมื่อเดินเกมรุกเพื่อมักจะฝากบอลให้ เอแด็น อาซาร์ มากกว่า แต่เขาก็ควรแสดงความมุ่งมั่นมากกว่านี้
ส่วน ลอฟตัส-ชีค ในแดนกลางอาจจะมีโอกาสได้เล่นบอลมากกว่า แต่ก็ต้องบอกว่าน่าผิดหวัง นอกจากเล่นเกมรับแล้วทำได้แค่แปะบอลให้เพื่อนเท่านั้น แถมหลายจังหวะยังเสียบอลแบบง่ายๆ ความเชื่องช้าส่งผลอย่างชัดเจนในเกมแบบนี้
4 เกมสุดท้ายแบ่งเป็นสองเกมในบ้านและสองเกมนอกบ้าน หนึ่งในนั้นคือการไปเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ดของ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในนัดที่ 36 ที่น่าจะเป็นตัวชี้วัดว่าใครจะได้ไปต่อในการลุ้นท็อปโฟร์ของตารางปีนี้
และเมื่อดูจากสถิตินอกบ้านในการเจอกับทีมหัวตาราง เชลซี แพ้รวดให้กับ สเปอร์ส 1-3, อาร์เซน่อล 0-2, แมนฯ ซิตี้ 0-6 และในเกมนี้กับ ลิเวอร์พูล
แถมความพ่ายแพ้ที่แอนฟิลด์ยังเป็นการแพ้เกมเยือนเป็นนัดที่ 5 จาก 7 เกมหลังอีกด้วย
ว่าแล้วก็ให้กังวลกับสภาพของ เชลซี ว่าชัยชนะ 4 เกมติดต่อกันก่อนหน้านี้จะเป็นแค่ภาพลวงตา
สภาพของทีมตอนนี้เหมือนกับหลังพิงฝาต้องการชัยชนะอย่างเดียวเท่านั้นในเกมที่เหลือหากจะหวังติดท็อปโฟร์ให้ได้ แต่อาจจะไม่ได้เป็นตัวรับประกันว่า เมาริซิโอ ซาร์รี่ จะได้อยู่ในตำแหน่งต่อไปหรือเปล่าหลังช่วงที่ผ่านมาก็มีกระแสว่าแค่พื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีกอาจจะยังไม่พอเซฟตัวเองให้อยู่ในตำแหน่งต่อไป
หรือไม่ก็หันไปเอาทางยูโรปา ลีกให้รู้แล้วรู้รอดกันไป เพราะตอนนี้ทีมก็ถือว่าแหย่เท้าเข้ารอบตัดเชือกไปข้างหนึ่งแล้วหลังบุกชนะ สลาเวีย ปราก มา 1-0 ซึ่งในรอบหน้ามี เบนฟิก้า หรือ แฟร้งค์เฟิร์ต รออยู่ก็ตาม แต่ก็ไม่น่าจะเหลือบ่ากว่าแรงในการทะลุถึงเกมชิงแชมป์
ได้ไปแชมเปี้ยนส์ ลีกด้วย ได้ชูถ้วยแชมป์ด้วย อันนี้คงเป็นที่น่าพอใจมากที่สุดสำหรับบอร์ดเชลซีแล้ว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT