อีกสองก้าวสู่ชัยชนะ
แม้ว่าจะเสียถึง 3 ประตูให้กับทีมจากสาธารณรัฐเช็ก แต่สองประตูหลังเป็นการโดนยิงหลังจากที่ทีมนำห่างออกไปแล้ว
การจัดทีมของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ แสดงให้เห็นว่า "เอาจริง" กับรายการนี้เพราะตัวหลักลงครบครันทั้ง ดาวิด ลุยซ์, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และโดยเฉพาะ เอแด็น อาซาร์
หลังความพ่ายแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ในเกมพรีเมียร์ลีกเมื่อสุดสัปดาห์ที่แล้วอาจจะทำให้นายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนรู้ว่าการคว้าโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกจากอันดับในลีกอาจจะเป็นเรื่องยากแล้ว เลยหันมาทุ่มเทในบอลยุโรปแทน
ในเกมนี้ที่เห็นได้ชัดว่าทีมทำได้ยอดเยี่ยมก็คือจังหวะเข้าทำ ทั้ง 4 ประตูที่ได้ในเกมนี้มาจากการประสานงานที่ยอดเยี่ยมของเกมรุกที่ต้องบอกว่าแทบไม่เห็นเลยในฤดูกาลนี้
จังหวะแรกตั้งแต่นาทีที่ 5 การเล่นชิ่งที่ยอดเยี่ยม เปโดร โรดริเกซ เล่นกันอยู่กับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ก่อนไหลให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ชิ่งจังหวะเดียวเข้าเขตโทษด้านขวา เปโดร ใช้ความเร็วสปีดเข้ามายิงข้ามตัว ออนเดร โคลาร์ มือกาว สลาเวีย ปราก เข้าไป
สกอร์ที่สองในจังหวะสวนกลับ เอแด็น อาซาร์ จ่ายทะลุช่องให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่แม้จะไม่มีความเร็วแต่ก็ใหญ่พอจะเก็บบอลเอาไว้กับตัวก่อนไหลให้ อาซาร์ เข้าเขตโทษด้านซ้ายแล้วตบไปเสาสอง เปโดร ยิงไปชนเสาแต่บอลเด้งมาโดน ซิมง เดลี่ เข้าประตูไป
ประตูที่สาม เอ็นโกโล่ ก็องเก้ จ่ายทะลุช่องอย่างสวยให้ เปโดร หลุดเข้าเขตโทษด้านขวาแต่เจ้าตัวใจกว้างไม่ยิงเองตบเข้ากลางมาที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แปด้วยขวาเข้าไป
ส่วนลูกที่สี่ เอแด็น อาซาร์ พาบอลจี้ใส่แนวรับทีมเยือนก่อนไหลมาทางซ้าย เอแมร์ซอน เปิดมาเสาแรก โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ยิงติดเซฟ ออนเดร โคลาร์ บอลเลยมาเสาสอง เปโดร ตวัดยิงโดนไม่เต็มแต่กลายเป็นดีบอลเด้งลงพื้นข้ามขา ซิมง เดลี่ ที่พยายามสกัดเข้าประตูไป
เห็นได้ชัดเลยว่าทั้งสี่ประตูที่ทีมทำได้มาจากการประสานงานที่ยอดเยี่ยม ซึ่งน่าจะทำให้แฟนพอมองเห็นอนาคตของทีมนี้อยู่บ้าง
นี่ยังไม่รวมถึงจังหวะที่ เอแด็น อาซาร์ ไหลบอลให้ เอแมร์ซอน ยิง หรือในจังหวะที่ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ไหลทะลุช่องให้ อาซาร์ หลุดเข้าเขตโทษ
ถือว่ามีเรื่องดีที่เกิดขึ้นมากมายในเกมนี้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ พังประตูที่ 10 ในบอลยุโรปซีซั่นนี้ เท่ากับ ลิโอเนล เมสซี่ ที่ทำได้ 10 ลูกเหมือนกันในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
นอกจากนี้ เชลซี ยังกลายเป็นทีมที่สองของพรีเมียร์ลีกต่อจาก แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ยิงทะลุ 100 ลูกรวมทุกรายการในฤดูกาลนี้ แบ่งเป็นในลีกทีมยิงไป 57 ลูก, เอฟเอ คัพ 5 ลูก, คาราบาว คัพ 8 ลูก และยูโรปา ลีก 30 ลูก รวมเป็น 100 ลูกพอดิบพอดี
มาเตโอ โควาซิช ที่ถูกมองว่าไปต่อไม่ไหวกับการค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ เกมนี้เข้าสกัดบอล 6 ครั้ง สำเร็จทั้ง 6 ครั้ง มากที่สุดในเกม รวมถึง ดาวิด ลุยซ์ ที่เคลียร์บอล 4 หนมากกว่าใครเช่นกัน
โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ดวลลูกกลางอากาศชนะคู่แข่ง 5 ครั้ง แสดงให้เห็นว่าเขาคือตัวเลือกที่น่าสนใจในการยืนหัวหอกให้กับทีมจากความหลากหลายในการเล่นทั้งพื้นดินและอากาศ ตอกย้ำให้เห็นว่าน่าจะได้รับความไว้วางใจให้ยืนในกองหน้าก่อน กอนซาโล่ อีกวาอิน ที่ดูท่าจะไปไม่รอด
เอแด็น อาซาร์ กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เลี้ยงบอลหลบคู่แข่งได้คนละ 3 หน มากที่สุดในสนาม ตามด้วย รอสส์ บาร์คลี่ย์ และ มาเตโอ โควาซิช คนละสองหน ส่วนนักเตะที่ผ่านบอลสำเร็จมากที่สุดเป็น อันเดรียส คริสเตนเซ่น 59 ครั้ง ตามด้วย เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และ ดาวิด ลุยซ์ 54 ครั้ง
ส่วนคนที่ผ่านบอลเข้าเป้ามากที่สุดในสนามคิดเป็นเปอร์เซ็นต์เป็น เอแมร์ซอน และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ที่ 93 เปอร์เซ็นต์เท่ากัน
ขณะที่เปอร์เซ็นต์การครองบอล 55.3 เปอร์เซ็นในเกมนี้เป็น อันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่ครองบอลนานกว่าใครเพื่อนคิดเป็น 6.6 เปอร์เซ็นต์ ส่วนคนที่สัมผัสบอลมากที่สุดเป็น เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า 80 ครั้ง
แถมชัยชนะในเกมนี้ยังเป็นชัยชนะเกมที่ 11 ในบอลยุโรปซีซั่นนี้ กลายเป็นสโมสรจากอังกฤษทีมแรกที่คว้าชัยในเกมยุโรปได้ถึงจุดนี้ในการแข่งขันปีเดียว
สถิติที่กล่าวมาทั้งหมดทั้งมวลมองในภาพรวมแล้วถือเป็นเรื่องที่ดี แต่ในขณะเดียวกันก็มีเรื่องแย่ๆอยู่เช่นกัน
ตลอดทั้งเกม "สิงห์บลูส์" ปล่อยให้ สลาเวีย ปราก ได้โอกาสจบสกอร์ถึง 11 ครั้ง และจากการยิงเข้ากรอบ 4 หน ผู้มาเยือนเปลี่ยนให้เป็นประตูได้ถึง 3 ลูก ซึ่งนี่เป็นทีมที่ 4 เท่านั้นที่สามารถบุกมายิงที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ในเกมยุโรปได้ถึง 3 ลูกหรือมากกว่า และเป็นครั้งแรกในรายการยูโรปา ลีก (หรือ ยูฟ่า คัพ) อีกด้วย
ทั้ง 3 ประตูที่เสียล้วนมาจากความผิดพลาดของการประกบตัวผู้เล่นของทีม ลูกแรกลูกโหม่งของ โทมัส ซูเช็ค จากลูกเตะมุมที่วิ่งมาคนเดียวแบบไร้ตัวประกบ ส่วนสองประตูติดๆในช่วงต้นครึ่งหลังจากการยิงไกลของ ปีเตอร์ เซฟชิค นักเตะเชลซียืนห่างมาก ปล่อยให้คู่แข่งได้ตั้งป้อมยิงแบบง่ายๆ
อาจจะเป็นเพราะได้ประตูนำห่างแล้วเลยปล่อยให้คู่แข่งเล่นง่ายไปหน่อย แต่ยังไงก็ไม่ควรปล่อยถึงขนาดนี้ อย่างที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ออกมาตำหนินักเตะหลังจบเกมว่าทีมออกสตาร์ช่วงต้นครึ่งหลังอย่างห่วยแตกมากๆและจะต้องแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างเร่งด่วน ไม่ให้มันเกิดขึ้นอีก
คู่ต่อสู้ในรอบต่อไปก็คือ แฟร้งค์เฟิร์ต จากเยอรมัน แน่นอนว่าเมื่อดูจาก 4 ทีมสุดท้ายที่เหลืออยู่ สโมสรจากเมืองเบียร์ดูจะมีภาษีด้อยกว่าใครเพื่อนในการถูกยกให้เป็นแชมป์ในปีนี้ ขณะที่ เชลซี ถูกยกให้เป็นเต็ง 1 ของรายการ
แต่เชื่อได้เลยว่าการที่พวกเขามาถึงจุดนี้ได้ไม่ใช่เพราะโชคช่วยอย่างแน่นอน
ดูจากการเล่นในนัดนี้แล้วดูดีมีอนาคตขึ้นเยอะทีเดียว แม้ว่าคู่แข่งจะถูกมองว่าค่อนข้างอ่อนชั้นไปหน่อย แต่เกมแบบนี้แหละที่ใช้เรียกความมั่นใจได้เป็นอย่างดี
ในช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ยังมีถ้วยแชมป์ให้ลุ้น มีลุ้นแย่งพื้นที่ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกให้แฟนบอลได้ชุ่มชื่นหัวใจกันบ้าง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT