เกือบไป
ความได้เปรียบจากเกมแรกที่บุกเสมอมาได้แบบมีสกอร์แถมยังได้ประตูขึ้นนำก่อนในเกมนี้ เกือบจบลงด้วยน้ำตาซะแล้ว ยังดีที่สุดท้ายเอาตัวรอดเข้าชิงถ้วยเล็กของยุโรปได้สำเร็จ
ต้องยอมรับว่ารูปเกมโดยรวมแล้วฝั่ง "สิงห์บลูส์" ไม่ได้เหนือกว่าทางผู้มาเยือนเลย แทบจะต้องบอกว่าโอกาสของทั้งสองทีมแทบจะมีพอๆกันด้วยซ้ำ
ความได้เปรียบจากการลงเล่นในสแตมฟอร์ด บริดจ์ดูจะไม่มีผลเลยโดยเฉพาะในช่วงครึ่งหลังที่ แฟร้งค์เฟิร์ต มีช่วงกดดันเจ้าบ้านอย่างหนัก
แต่ก็ต้องยอมรับว่าการวางแผนของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ทำได้อย่างถูกต้องที่ไม่เสี่ยงดาหน้าเข้าใส่แต่เน้นการเล่นแบบ "ชัวร์" เพราะเกมรุกของ "อินทรีแดง-ดำ" อันตรายมากจริงๆ
การขาดหายไปของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำให้แผงกองกลางของ เชลซี ต้องช่วยกันมากขึ้น รวมถึงเกมรุกที่ เอแด็น อาซาร์ ต้องแบกภาระอย่างหนัก แต่มันก็ไม่ได้แปลกอะไรเพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาตลอดช่วงฤดูกาลที่ผ่านมาอยู่แล้ว
ซึ่งแม้คู่แข่งจะรู้อยู่แล้วว่านี่แหละคือคนที่เป็นทุกอย่างของทัพสิงห์ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเอาอยู่
ประตูขึ้นนำของ เชลซี ก็มาจากการแผลงฤทธิ์ของ อาซาร์ ที่พักบอลแล้วหาจังหวะก่อนจ่ายทะลุช่องอย่างรู้ใจให้ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ทะลุเข้าเขตโทษด้านซ้ายซึ่งดูเหมือนมุมจะแคบแต่เจ้าตัวก็ยังยิงบอลเสียบเสาสองได้อย่างยอดเยี่ยม
เห็นได้ชัดเลยจากการยิงลูกนี้ว่าสตาร์วัย 23 ปีรายนี้กำลังเล่นด้วยความมั่นใจอย่างเต็มที่ หลังจากที่เกมแรกที่เยอรมันก็เป็นคนแอสซิสต์ให้ เปโดร โรดริเกซ พังประตู
จากประตูในเกมนี้ทำให้ ลอฟตัส-ชีค พังตาข่ายเป็นลูกที่ 10 ให้กับทีมในฤดูกาลนี้ ซึ่งทำให้เจ้าตัวเป็นแข้งจากทีมอคาเดมี่คนแรกของสโมสรนับตั้งแต่ปี 1992/93 ที่ยิงได้ถึงเลขสองหลักให้กับสโมสร โดยคนก่อนหน้านี้ที่ทำได้ก็คือ แกรม สจ๊วร์ต ที่ยิงได้ 10 ลูกเช่นกันในปีดังกล่าว
ประตูของ ลอฟตัส-ชีค แบ่งเป็นในลีก 6 ลูก และในยูโรปา ลีก 4 ลูก ยังมีแอสซิสต์อีก 6 ครั้ง ซึ่งมาจากการลงเล่นรวม 39 เกม แต่ในจำนวนนั้นเป็นการลงเล่นตัวจริงเพียง 16 เท่านั้น ส่วนในรายของ สจ๊วร์ต ยิงในลีก 9 ลูกกับในลีก คัพ 1 ลูก และในปีนั้น เชลซี จบที่อันดับ 11 ของตารางคะแนนซึ่งถือเป็นปีแรกที่เปลี่ยนมาเป็นชื่อพรีเมียร์ลีก
เรียกได้ว่าจากวันนั้นถึงวันนี้กินเวลายาวนานกว่า 26 ปี และความสำเร็จในปีนี้ดูเหมือนว่าจะยอดเยี่ยมกว่าหลายขุมด้วยศักยภาพของทีมและพลังเงินจาก โรมัน อบราโมวิช
น่าจะเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าสตาร์ทีมชาติอังกฤษรายนี้จะมีอนาคตที่สดใสรออยู่ในชุดสีน้ำเงินในฤดูกาลหน้า รวมถึงเรื่องสัญญาที่กำลังมีการเจรจากันอยู่ว่าจะขยายเพิ่ม รวมถึงตัวเลขค่าเหนื่อยที่อาจจะเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว
เกมที่ดูเหมือนจะทำได้ดีจากประตูที่ขึ้นนำ แต่ทีมก็มาเสียท่าในช่วงต้นครึ่งหลังโดยเฉพาะ ดาวิด ลุยซ์ ที่ชะงักเพียงก้าวเดียวทำให้ ลูก้า โยวิช หลุดไปยิงตีเสมอ จากนั้นมรสุมถาโถมใส่ฝั่งสีน้ำเงินต่อเนื่อง แต่ก็ยังยืนหยัดอยู่ได้และต้องสู้ยาวถึง 120 นาทีและต้องตัดสินกันด้วยการดวลเป้า
ซึ่งในช่วงต่อเวลาก็มีจังหวะหวาดเสียวของฝั่งสีน้ำเงินที่ได้ทั้ง ดาวิด ลุยซ์ และ ดาวิเด้ ซัปปาคอสต้า ช่วยกันสกัดบอลจากเส้นให้ทีมรอดพ้นความปราชัยมาได้
และในช่วงบีบคั้นกันสุดๆ หัวใจของแฟนบอล เชลซี ก็หล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่รับหน้าที่สังหารเป็นคนที่สองของทีมยิงไปติดเซฟ เควิน ทรัพพ์ ทำให้ผ่านไปสองคนสกอร์เป็น แฟร้งค์เฟิร์ต ที่นำ 2-1
ไม่ใช่ว่ายิงไม่ได้ดี ลูกยิงของแบ็คขวากัปตันทีมทำได้ยอดเยี่ยมและบอลกำลังจะพุ่งเสียบเสาแล้ว แต่ต้องปรบมือให้ ทรัพพ์ ที่พุ่งปัดได้อย่างยอดเยี่ยม
แต่ในช่วงเวลาแบบนี้นี่แหละที่เหมาะสำหรับการมีคนที่เป็นฮีโร่ และคงจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ความหวังเดียวในการเซฟให้ เชลซี ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ
มาร์ติน ฮินเทเร็กเกอร์ ที่สังหารเป็นคนที่ 4 ของผู้มาเยือนกดบอลเรียดไปกลางประตูแต่ เกปา ที่ไม่ได้พุ่งไปไหนยืนอยู่ตรงนั้นเอาขาหนีบบอลไว้อยู่ก่อนที่ ดาวิด ลุยซ์ มาสังหารให้ทีมตีเสมอ 3-3
มาถึงคนที่ 5 ที่ กอนซาโล่ ปาเซียนเซีย รับหน้าที่ยิงแต่ เกปา ก็เดาถูกพุ่งปัดเอาไว้ได้ เป็นการเซฟสองหนติดอย่างยอดเยี่ยม และ เอแด็น อาซาร์ ก็เดินเข้ามาเป็นคนปิดจ๊อบให้ เชลซี พลิกกลับมาเอาชนะสุดมัน 4-3
นี่แหละถึงเรียกว่าสถานการณ์สร้างวีรบุรุษอย่างแท้จริง
ย้อนกลับไปในเกมชิงถ้วยคาราบาว คัพกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่มีประเด็นของ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ไม่ยอมเปลี่ยนตัวออกจากคำสั่งของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ซึ่งในเกมนั้นทีมดวลจุดโทษแพ้ไป ทำให้มือกาวชาวสเปนกลายเป็นเป้าทันที สื่อหลายเจ้าพากันประโคมข่าวว่าเจ้าตัวอาจจะโดนขายออกจากทีมทั้งที่เพิ่งซื้อมาร่วมทีมด้วยค่าตัวเป็นสถิติโลกของตำแหน่งผู้รักษาประตูเมื่อช่วงซัมเมอร์นี้เอง
แต่เกมนี้เจ้าตัวก็มา "แก้ตัว" ได้สำเร็จ และถือว่าเป็นการประกาศให้ทุกคนเห็นว่า "มีของ" กับเค้าเหมือนกัน
ส่วนในรายของ เอแด็น อาซาร์ ตอนนี้ขอให้แฟนบอลลืมเรื่องย้ายทีมไปให้หมดก่อน เพราะมีเกมสำคัญรออยู่ เรื่องอนาคตก็ค่อยไปว่ากันหลังจบฤดูกาลไป
และในรอบชิงชนะเลิศนี้เอง เชลซี จะโคจรมาพบกับอาร์เซน่อล คู่แข่งร่วมลีกรวมถึงเป็นคู่ปรับแห่งกรุงลอนดอนที่ต้องปะทะกัน
เรียกได้ว่าคงเป็นเกมชิงชนะเลิศที่ "พิเศษใส่ไข่" ที่ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องของศักดิ์ศรีเท่านั้น แต่ยังมีถ้วยแชมป์เป็นเดิมพันด้วย
แฟนบอลทั้งสองทีมพร้อมที่จะ "บลัฟฟ์" ใส่กันอยู่แล้ว ยิ่งเกมใหญ่แบบนี้ซึ่งไม่ใช่เกมธรรมดาทั่วไป บรรยากาศยิ่งเข้มข้นเป็นเท่าทวี
ผลสุดท้ายถ้าทีมไหนพ่ายแพ้ เชื่อได้เลยว่าจะโดนล้อเลียนกันแบบไม่จบไม่สิ้นแน่นอน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT