ยังไม่ถึงเวลา?
จะถามว่าพลิกโผหรือเปล่า ก็คงบอกว่าไม่ เพราะนับตั้งแต่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ทะลุขึ้นมาพา บาร์เซโลน่า ประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ "เทรนด์" การใช้ผู้จัดการทีมอายุน้อยก็เกิดขึ้นกันอย่างแพร่หลาย
ดีบ้าง ร้ายบ้าง ปะปนกันไป แต่ส่วนใหญ่จะค่อนข้างไปทางแย่ซะมากกว่า เพราะด้วยประสบการณ์ การตัดสินใจในช่วงเวลาสำคัญหรือจะบารมีในทีมยังค่อนข้างน้อย
จะให้มีแบบ เป๊ป บ่อยๆก็คงจะไม่เรียกว่าปรากฎการณ์แล้ว
กับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด แม้ว่าจะทำผลงานได้ดีในฤดูกาลนี้กับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่เข้าถึงเกมชิงชนะเลิศเพลย์ออฟเลื่อนชั้นก่อนลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ แต่อย่างลืมว่านี่เป็นเพียงแค่ปีแรกในการคุมทีมเท่านั้น แถมสโมสรก็เป็นทีมในลีกรองด้วย
ในฐานะนักเตะ ไม่มีข้อสงสัย นี่คือหนึ่งในกองกลางดีที่สุดของ เชลซี และ อังกฤษ แต่เราก็เคยเห็นมาแล้วว่าคนที่สุดยอดสมัยเป็นนักเตะไม่ได้หมายความว่าจะคุมทีมดี หรือคนที่ไม่เคยเป็นนักฟุตบอลจะเป็นยอดกุนซือไม่ได้
ไม่ได้บอกว่า แลมพาร์ด ไม่เก่ง ผลงานในฤดูกาลนี้แสดงให้เห็นเป็นอย่างดี แต่มองอย่างตรงไปตรงมาว่าเขาดีพอแล้วหรือกับการก้าวขึ้นมาถึงขั้นคุม เชลซี
เชื่อได้เลยว่าในอนาคต เจ้าของตำแหน่งดาวยิงสูงสุดตลอดกาลของสโมสร 211 ประตู ยังไงก็ไม่แคล้วเข้าเป็นนายใหญ่ในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์แน่นอน แต่มันอาจจะยังไม่ใช่ตอนนี้
มีเหตุผลอะไรบ้างที่ แลมพาร์ด ถูกมองว่าฝีไม้ลายมือยังไม่เหมาะที่จะคุมทีม เชลซี ในเวลานี้
ประสบการณ์ยังน้อยเกินไปกับงานนี้
หลังประสบความสำเร็จอย่างงดงามตลอดระยะเวลา 21 ปีในเส้นทางอาชีพค้าแข้ง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ประกาศแขวนสตั๊ดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2017 และเดินหน้าเรียนรู้และขอใบอนญาติในการเป็นโค้ชทันที
ระยะเวลาหนึ่งปีนิดๆ แลมพาร์ด เข้ารับงานคุมทีม ดาร์บี้ เคาน์ตี้ในเดอะ แชมเปี้ยนส์ชิพ เมื่อซัมเมอร์ที่แล้ว
และเพียงแค่ปีแรกในถิ่นไพรด์ พาร์ค, เขานำทีมคว้าอันดับ 6 ของตาราง ได้สิทธิ์เล่นเพลย์ออฟเลื่อนชั้น โดยโชว์ฝีมืออันยอดเยี่ยมด้วยการพาทีมโค่น ลีดส์ ยูไนเต็ด ในรอบรองชนะเลิศ แต่ไปพ่ายให้กับ แอสตัน วิลล่า อย่างน่าเสียดายในเกมชิงตั๋ว
ด้วยผลงานแบบนี้ หลายคนต่างพากันยกให้ แลมพาร์ด ขึ้นเป็นตัวแทนของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่ส่อแววจะอำลาทีมหลังไม่รับการสนับสนุนเท่าที่ควร แต่ถามว่าเขาดีพอแล้วหรือยัง?
กับประสบการณ์คุมทีมเต็มตัวแค่ปีเดียว (และไม่ใช่ลีกสูงสุด) แลมพาร์ด ยังมีเรื่องให้ต้องเรียนรู้อีกมากในการทำงานโค้ช และการก้าวขึ้นมารับงานคุมทีมระดับ เชลซี อาจจะเร็วเกินไปหรือเปล่า
เส้นทางการทำงานยังคงอีกยาวไกลและ แลมพาร์ด ยังต้องใช้เวลาเพื่อเก็บเกี่ยวประสบการณ์ก่อนจะทำหน้าที่นี้ได้ในอนาคต
ณ เวลานี้ต้องยอมรับว่าขนาดของทีม เชลซี ที่ยกระดับขึ้นมาเป็นหนึ่งในสโมสรใหญ่ที่สุดในโลก แรงกดดันมหาศาลกับการนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามกับบอร์ดที่หวังความสำเร็จในรูปแบบของ "แชมป์" ในทุกปี
อย่างที่บอก ยกเว้นในกรณีของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า หรือ ซีเนดีน ซีดาน ที่ก้าวขึ้นมาพร้อมกับความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่กับ บาร์เซโลน่า และ เรอัล มาดริด ที่ไม่ได้เกิดขึ้นอยู่บ่อยๆ
แน่นอนว่ามีเรื่องนี้เกิดขึ้นมากมาย และเทรนเนอร์หลายรายล้มเหลวกับการก้าวขึ้นมารับงานที่ใหญ่ขึ้น และยิ่งกับทีมอย่าง เชลซี ที่ไม่มีความอดทนมากพอ คิดดีแล้วหรือเปล่ากับการตั้งกุนซือที่ยังไม่มีอะไรการันตีได้ทั้งสิ้น
แม้แต่ อันเดร วิลลาช-โบอาช ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็น "นิว โชเซ่ มูรินโญ่" ยังเละมาแล้ว กับ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ซึ่งอาจจะเอาชื่อ "ตำนาน" สมัยเป็นนักเตะมาทิ้งกับการเป็นกุนซือ
ปัญหาเรื่องตลาดซื้อ-ขาย
ถึงตอนนี้ปัญหาในเรื่องตลาดซื้อนักเตะของ เชลซี ยังไม่ได้รับการคลี่คลาย แม้ทางศาลกีฬาโลกจะรับอุทธรณ์ แต่ถ้ามองจากตอนนี้คือพวกเขายังคงโดนแบนอีกสองตลาดในซัมเมอร์และตลาดหน้าหนาว
แถมทีมยังมาเสียสตาร์เบอร์หนึ่งของทีมอย่าง เอแด็น อาซาร์ ไปอีก ทำให้ศักยภาพของผู้เล่นลดลงไปอย่างเห็นได้ชัด
จริงอยู่ว่านักเตะที่ทีมปล่อยให้สโมสรอื่นยืมตัวกลับมาสามารถใช้ได้สบาย แต่กับสโมสรอย่าง เชลซี สิ่งที่ต้องการคือดีที่สุดเสมอ ยิ่งทีมกลับเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกด้วย ยิ่งไม่พอ
กับกุนซือที่ชั่วโมงยังไม่ได้สูงมากอย่าง แลมพาร์ด เป้าหมายแรกเมื่อนั่งเก้าอี้กุนซือน่าจะเป็นการ "ซื้อ" นักเตะที่ต้องการเข้ามาสู่ทีม โดยเฉพาะกับการที่ทีมเพิ่งเสียแข้งเก่งไป
แน่นอนว่าหากสุดท้ายแล้วไม่สามารถซื้อนักเตะใหม่มาเสริมทีมได้จริง ด้วยศักยภาพทีมที่เหลืออยู่อาจจะยังไม่ดีพอแม้แต่จะยึด "ท็อปโฟร์" เอาไว้ได้ด้วยซ้ำไป อย่าว่าแต่เป็น แลมพาร์ด เลย เชื่อว่าเทรนเนอร์ชื่อดังที่มีชื่อพัวพันอยู่กับ "สิงห์บลูส์" ก็คงมองจุดนี้อยู่เหมือนกัน
และต่อให้สามารถซื้อแข้งใหม่ได้ กว่าจะถึงตอนที่เรื่องผ่านการอนุมัติ ของดีๆอาจจะไม่เหลือแล้ว
ยังมีตัวเลือกที่ดีกว่า
ด้วยสถิติการจ้างงานและปลดผู้จัดการทีมของ เชลซี ต้องบอกว่าชื่อเสีย(ง) ในเรื่องนี้เป็นที่เลื่องลือ พร้อมที่จะปลดกุนซือออกจากตำแหน่งหากผลงานไม่เป็นที่น่าพอใจ ต่อให้คุณจะมีชื่อเสียงมากแค่ไหน
แน่นอนว่าในตลาดตอนนี้มีตัวเลือกมากมายสำหรับเหล่ากุนซือที่ทีมจะดึงเข้ามารับงานในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งต้องบอกว่าชื่อชั้นแต่ละคนเหนือกว่า แลมพาร์ด อย่างแน่นอน
โชเซ่ มูรินโญ่ คือคนล่าสุดที่มีชื่อกลับมาคุมทีมเป็นคำรบสาม หลังจากที่เคยทำหน้าที่นี้มาแล้ว รู้จักสโมสรเป็นอย่างดี ที่สำคัญเขายังเป็นคนที่ได้รับความรักจากแฟนบอลอย่างไม่เสื่อมคลายกับการเป็นคนนำทีมเดินทางสู่ความยิ่งใหญ่จนถึงทุกวันนี้
แม้ว่าจะมีช่วงที่ไปรับงานคุม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่อาจจะสร้างความเคืองใจให้กับสาวกสีน้ำเงินอยู่บ้าง แต่ก็เข้าใจในวิถีของเส้นทางอาชีพ
หรือจะเป็น โลร็องต์ บล็องค์ ที่มีประสบการณ์คุม บอร์กโดซ์ และ ปารีส แซงต์-แชร์กแม็ง รวมถึงทีมชาติฝรั่งเศสมาแล้ว แม้แชมป์กับเปแอสเชอาจจะถูกมองว่าเหนือกว่าคู่แข่งมาก แต่กับแชมป์ลีก เอิงสมัยคุม บอร์กโดซ์ คือตัวการันตีได้ ซึ่งปัจจุบันว่างงานมาตั้งแต่ปี 2016 แล้ว
หรืออย่างคนที่มีสโมสรอยู่แล้วอย่าง เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ที่หากไม่ได้รับการสนับสนุนด้านการเงินจากสโมสรอาจจะคิดอำลาทีม แต่คงจะเป็นการทำร้ายจิตใจชาว "ไก่เดือยทอง" ไปสักหน่อยหากเลือกมาคุมคู่ปรับร่วมเมือง
ฆาบี กราเซีย เป็นอีกหนึ่งในชื่อที่ถูกหยิบยกขึ้นมากับการพา วัตฟอร์ด ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ด้วยทรัพยากรและเม็ดเงินที่จำกัด แม้บารมีจะไม่มากนัก
หรือจะชื่อที่บ่อนในอังกฤษมองว่ามีโอกาสทั้ง ราฟาเอล เบนีเตซ, มักซิมิลิอาโน่ อัลเลกรี, ลูชาโน่ สปัลเล็ตติ ก็ล้วนแล้วแต่ประสบการณ์ล้นเหลือ
บุคคลที่กล่าวมานั้นล้วนมีภาษีดีกว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด ทั้งสิ้น และก็มีความเป็นไปได้ที่หาก เชลซี ติดต่อไป ยังไงก็ต้องมีคนสนใจรับงานอย่างแน่นอน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT