งานที่ควรต้องทำ
ถือเป็นพัฒนาการสำหรับคนที่ทำงานในตำแหน่งผู้จัดการทีมกับการก้าวไปอีกขั้นในสายอาชีพของตัวเอง
ก็เหมือนกับเราทำงานแล้วได้เลื่อนขั้นนั่นแหละ แต่ขั้นที่อดีตสตาร์ทีมชาติอังกฤษก้าวไปนั้นมันเหมือนกับการก้าวแบบกระโดดซะมากกว่า
แม้ว่าประสบการณ์คุมทีมจะมีน้อยนิด แต่ผลงานที่ออกมากับการพา ดาร์บี้ เคาน์ตี้ เข้าถึงรอบชิงชนะเลิศเพลย์ออฟเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีก ก็ถือว่าเป็นใบเบิกทางได้อยู่
บวกกับการที่สโมสรที่ต้องการตัวนั้นเป็น "สิงห์บลูส์" ซึ่งเป็นทีมเก่าทำให้อะไรมันดูจะง่ายอยู่บ้าง
เพราะถ้าหาก แลมพาร์ด ไม่ได้เป็นแข้งระดับ "ตำนาน" ของ เชลซี หรือไม่เคยค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์มาก่อน รับประกันได้เลยคงไม่ได้รับการชายตามองแน่นอน
แต่มาถึงขั้นนี้แล้วก็ถือว่า "วิน-วิน" กันไป แฟนบอลก็โอเค, สโมสรโอเค, บรรดาอดีตเพื่อนร่วมทีมก็ล้วนชูมือสนับสนุน (เป็นส่วนใหญ่)
ถึงอย่างนั้นก็ต้องยอมรับว่า แลมพาร์ด ต้องเผชิญหน้ากับความกดดันอย่างมหาศาลในการพาทีมให้ประสบความสำเร็จในฤดูกาล 2019/20 เพราะขนาด เมาริซิโอ ซาร์รี่ ที่ได้แชมป์ยูโรปา ลีก รวมถึงเข้าไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกยังไม่มีที่ยืน จากสไตล์การเล่นที่โดนโจมตีมาตลอดทั้งฤดูกาล
เมื่อมาอยู่ในมือของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด แล้วย่อมมีความคาดหวังว่ามันจะดีขึ้น โดยไม่ได้มองว่าเขาคือ "มือใหม่" เรื่องคุมทีม และอีกหลายๆอย่างในทีมที่จะต้องแก้ไขและทำในฤดูกาลที่กำลังมาถึง
ไม่ขอพูดเรื่องตลาดที่ยังไม่ได้มีการตัดสิน เพราะเอาแค่ที่ต้องเจอก็คงปวดหัวมากพอแล้ว
ให้โอกาสดาวรุ่ง
นี่คือสิ่งที่น่าจะเกิดขึ้นและมีความเป็นไปได้มากที่สุด สาเหตุง่ายๆก็เพราะทีมโดนโทษแบนจากการซื้อนักเตะมาเสริมทีมเป็นเวลา 2 ตลาด หรือ 1 ปีเต็มนั่นเอง
มันอาจจะเป็นตัวบังคับให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด จำต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ และหนึ่งในนั้นก็คือการดันเด็กดาวรุ่งขึ้นมาสู่ทีมชุดใหญ่
ยิ่งเมื่อดูจำนวนนักเตะที่ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ใช้งานเมื่อฤดูกาลที่แล้วที่น้อยมาก นักเตะแต่ละคนหลับตาแล้วนึกออกเลยว่าจะส่งใครแทนใคร ก็น่าจะชัดเจนว่าปีนี้เราคงได้เห็นแบบนั้น
ทางเดียวที่จะเปลี่ยนหน้าบ้างก็คือแข้งดาวรุ่ง ซึ่งคนที่ดูน่าจะได้รับโอกาสอย่างเห็นได้ชัดก็คงเป็น เมสัน เมาท์ ที่ยืมตัวไปอยู่ด้วยกันที่ ดาร์บี้ และโชว์ผลงานได้เป็นอย่างดี รวมถึง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่เริ่มเข้ามาเป็นตัวหลักในทีมในช่วงปลายฤดูกาล
แน่นอนว่ามันคือความเชื่อมั่นซึ่งกันและกันระหว่างผู้จัดการทีมและนักเตะ หลังในช่วงปีที่ผ่านมาดูเหมือนแข้งดาวรุ่งถูกจำกัดพื้นที่ มาในปีนี้นี่แหละที่เราจะได้เห็น เชลซี ปั้นเด็กขึ้นมาสู่ทีมหลังไม่ได้เห็นมานาน
ค้นหาสไตล์การเล่นของตัวเอง
ในฐานะคนดูบอล ถ้าคุณเป็นคนนอก แน่นอนว่าคุณคงตั้งข้อสงสัยว่าทำไม เมาริซิโอ ซาร์รี่ ถึงอยู่คุมทีมได้แค่ปีเดียวทั้งที่ผลงานในปีที่ผ่านต้องถือว่าประสบความสำเร็จ
จบอันดับ 3 พาทีมกลับไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกอีกครั้ง, พาทีมเข้าชิงชนะเลิศฟุตบอลคาราบาว คัพ แม้ว่าจะลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ และคว้าโทรฟี่ยูโรปา ลีกมาครองอย่างยิ่งใหญ่
แต่สิ่งที่แฟนบอลร้อง "ยี้" ไม่เอานายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยนก็คือ "ซาร์รี่บอล"
ฟุตบอลที่มีมิติเดียว, ฟุตบอลอันน่าหงุดหงิด, ฟุตบอลที่ต่อบอลกันไปมาเป็นสิบนาทีโดยหาช่องเข้าทำไม่ได้, การเปลี่ยนตัวที่คาดเดาได้ว่ามันจะเกิดขึ้นตามตำแหน่งแน่ นั่นคือสิ่งที่แฟนบอลรวมถึงสโมสรรับไม่ได้
ซึ่งนั่นก็คือหนึ่งในสิ่งที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องทำคือการสร้างสไตล์การเล่นไม่ใช่แค่แนวทางของตัวเอง แต่ยังต้องเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลได้บ้าง ทั้งในเรื่องของความหลากหลายและการแก้เกม
แต่เกมที่สร้างความบันเทิงสนุกสนานในสนามนั่นอาจจะหมายถึงการที่ทีมต้องปรับระบบการเล่นจาก 4-3-3 ที่เห็นมาตลอดซีซั่นก่อน ในเมื่อทีมมีสองมิดฟิลด์ชั้นเยี่ยมทั้ง จอร์จินโญ่ และ เอ็นโกโล่ ก็องเต้
นั่นหมายความว่าระบบการเล่นอาจจะต้องเปลี่ยนเป็น 4-2-3-1 หรือไม่อย่างนั้นหากจะยึดระบบเดิม ไม่ ก็องเต้ ก็ จอร์จินโญ่ คนหนึ่งคงต้องนั่งข้างสนามซึ่งถามแฟน เชลซี คงไม่ต้องบอกว่าเป็นใคร
เติมเต็มส่วนที่หายไปของ เอแด็น อาซาร์
แค่เอ่ยประเด็นนี้มา แฟนบอลเชลซีแทบทั้งหมดคงเอามือก่ายหน้าผากกับการสูญเสียนักเตะที่ดีที่สุดของทีมไป
เอแด็น อาซาร์ ไม่ใช่นักเตะดีที่สุดของ เชลซี ในฤดูกาลที่ผ่าน แต่เรียกได้ว่าเป็นนักเตะที่ทำผลงานได้ดีที่สุดในพรีเมียร์ลีกฤดูกาลที่แล้วก็ว่าได้ ซึ่งการย้ายไปอยู่กับ เรอัล มาดริด จะช่วยยกระดับให้เขาเป็นแข้งดีที่สุดในโลกได้
ต้องยอมรับว่าด้วยศักยภาพของ อาซาร์ ที่อยู่ในระดับเดียวกับ ลิโอเนล เมสซี่ หรือ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ คงไม่ง่ายกับการหาตัวแทน, เรอัล มาดริด แสดงให้เห็นแล้วกับความตกต่ำในฤดูกาลที่ผ่านมาหลังเสีย โรนัลโด้ ไปให้กับ ยูเวนตุส
เชลซี ยังโชคดีที่อย่างน้อยก็ยังได้ คริสเตียน พูลิซิช ที่เมื่อดูจากฟอร์มการเล่นที่ผ่านมารวมถึงในคอนคาเคฟ โกลด์ คัพน่าจะพออุ่นใจได้บ้างว่าอย่างน้อยก็ยังมีนักเตะที่สไตล์คล้ายกันเข้ามาทดแทน
ยังรวมถึง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่ดูมีแววที่จะโดดเด่น พร้อมก้าวขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของทีมในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง
แม้ว่าอาจจะต้องใช้เวลากันอยู่บ้างสำหรับการปรับตัว แต่อย่างน้อยก็ยังได้คนใหม่มาช่วยก่อนแล้ว มันก็ไม่ได้เลวร้ายถึงขีดสุดขนาดนั้น
หากองหน้าตัวถล่มประตู
อีกหนึ่งในปัญหาของทีมเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมาก็คือการไม่มีกองหน้าชั้นเยี่ยมในแบบที่สโมสรคู่แข่งมี
โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ยืนระยะได้ไม่ตลอด, ยืมตัว กอนซาโล่ อีกวาอิน มาก็ผลงานไม่เข้าเป้า ทีมดันปล่อย อัลบาโร่ โมราต้า ให้ แอตเลติโก มาดริด ยืมอีก นั่นทำให้ภาระไปตกอยู่ที่ เอแด็น อาซาร์
และเมื่อไม่มี อาซาร์ อยู่แล้วไม่แปลกที่แฟนบอลจะกังวลว่าใครจะมาแบกทีมในฤดูกาลที่กำลังจะมาถึง
การหากองหน้าที่ไว้ใจได้กับสโมสรระดับ เชลซี คงจะเป็นอีกหนึ่งงานที่ยากที่สุด เมื่อคนที่มีอยู่ไม่น่าจะเป็นตัวเลือกแรก ในขณะที่เรื่องการซื้อตัวยังเป็นคำถามว่าจะยื่นอุทธรณ์ผ่านรึเปล่า
กองหน้าในแบบฉบับของ ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ในช่วงที่ทีมประสบความสำเร็จอย่างสูงคงเป็นสิ่งที่ทีมสิงโตน้ำเงินถวิลหาเป็นอย่างยิ่ง แต่นักเตะระดับที่สามารถเล่นได้ทุกทีมในโลกคงไม่ได้มีบ่อยๆ และคงไม่ได้ตัวมาง่ายๆ
หากไม่นับกองหน้าที่เห็นหน้ากันมาตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา กับนักเตะที่ถูกปล่อยยืมตัวอย่าง แทมมี่ อบราฮัม ที่โชว์ผลงานสุดยอดในการเล่นให้ แอสตัน วิลล่า ในสัญญายืมตัวพร้อมผลงาน 25 ประตูจาก 37 เกมในแชมเปี้ยนชิพ ช่วยให้ทีมเลื่อนชั้นสู่พรีเมียร์ลีกน่าจะเป็นตัวเลือกที่พอใช้ได้เหมือนกัน
คาดว่าสตาร์วัย 21 ปีที่ลงเล่นในพรีเมียร์ลีกให้สโมสรแค่สองเกม จะเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้รับโอกาสจาก แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่น้อยกว่าใครในแดนหน้าแน่
จากตำนานสู่ผู้จัดการที่ประสบความสำเร็จ
เคนนี่ ดัลกลิช, เป๊ป กวาร์ดิโอล่า และ ซีเนดีน ซีดาน ทุกคนมีสิ่งที่เหมือนกันก็คือยิ่งใหญ่ในฐานะนักเตะ และประสบความสำเร็จในฐานะกุนซือ
สิ่งที่เกิดขึ้นไม่บ่อยนัก หรือน้อยมาก เพียงแต่ "เทรนด์" ผู้จัดการทีมลูกหม้ออายุน้อยและประสบความสำเร็จดูจะมาแรงในช่วงหลัง และหลายสโมสรเริ่มเอาไปเป็นแบบอย่าง แต่ส่วนใหญ่ลงเอยด้วยความผิดหวัง
แต่ถึงกระนั้นการกลับมาของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็ถือเป็นความพิเศษของแฟนบอล "สิงห์บลูส์" และทุกคนก็พร้อมอ้าแขนต้อนรับนักเตะดีที่สุดตลอดกาลของสโมสร
นั่นอาจจะเป็นเหตุผลที่สโมสรและแฟนบอลอาจจะอดทนกับตำนานของสโมสรมากเป็นพิเศษท่ามกลางปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้
ทว่าสิ่งเดียวที่สถานะแบบนั้นจะคงอยู่ก็คือการนำความสำเร็จมาสู่สโมสรให้ได้ ยืนระยะให้อยู่ ทำให้แฟนบอลมีความสุขมีรอยยิ้มมากกว่าที่ผ่านมา
ไม่อย่างนั้น แฟร้งค์ แลมพาร์ด ก็คงเป็นตำนานของสโมสรได้แค่ในฐานะนักเตะอย่างเดียวเท่านั้น
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT