:::     :::

ไม่ต้องเสียใจแต่ต้องแก้ไข

วันพฤหัสบดีที่ 15 สิงหาคม 2562 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
2,466
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
หลังความพ่ายแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมเปิดสนามพรีเมียร์ลีก อังกฤษเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องนำลูกทีมทำศึกใหญ่อีกครั้งกับ ลิเวอร์พูล ในเกมชิงถ้วยยูฟ่า ซูเปอร์ คัพ

แน่นอนว่าจากความยับเยินที่โอลด์ แทรฟฟอร์ด ทุกคนต่างพากันยกให้ "หงส์แดง" จะเข้าวินคว้าแชมป์ไปครองได้ (ยกเว้นแฟนบอล เชลซี เอง)

นายใหญ่สิงห์บลูส์ปรับแผนการเล่นจาก 4-2-3-1 มาเป็น 4-3-3 พร้อมกับปรับเปลี่ยนผู้เล่นสามตำแหน่ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ผ่านความฟิตลงเล่นเป็นตัวจริงประสานงานในแดนกลางกับ จอร์จินโญ่ และ มาเตโอ โควาซิช ส่วนในแนวรุก คริสเตียน พูลิซิช และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ได้ลงสนาม โดยคนที่หลุดไปคือ เมสัน เมาท์, รอสส์ บาร์คลี่ย์ และ แทมมี่ อบราฮัม

ถือว่าลงตัวในเรื่องของการวางนักเตะมากกว่าเดิม โดยเฉพาะในตำแหน่งเกมรุกทางซ้ายที่ พูลิซิช ดูน่าเป็นธรรมชาติมากกว่า บาร์คลี่ย์ ที่ถนัดเล่นตรงกลางเห็นได้เลยจากเกมกับ "ปีศาจแดง" ที่เกมทางซ้ายของทีมไม่ได้คุกคามคู่แข่งเท่าที่ควรจะเป็น


และเมื่อการแข่งขันเริ่มขึ้น เกมของ เชลซี ไม่ได้เป็นรอง ลิเวอร์พูล อย่างที่ใครหลายคนคาด หรือจะบอกว่าเหนือกว่าก็ไม่น่าเกลียด แม้ว่าจะไม่ได้ถึงขนาดกดจนขยับไม่ได้ แต่การยืนหยัดต่อกรกับรองแชมป์พรีเมียร์ลีกและแชมป์ยุโรปได้อย่างไม่เป็นรองก็ถือว่ายอดเยี่ยมแล้ว

เกมรับดูจะเล่นด้วยความมั่นใจมากขึ้น โดยเฉพาะในรายของ คูร์ท ซูม่า ที่เหวอจนทำให้ทีมเสียประตูจากเกมที่แล้ว ดูไม่ตื่นกลัวและยืนตำแหน่งได้ดีขึ้นอย่างชัดเจน

ผลพวงน่าจะมาจากการที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กลับมาลงสนามอีกครั้ง ซึ่งสตาร์ทีมชาติฝรั่งเศสมีส่วนร่วมกับเกมอยู่ตลอดไม่ว่าจะเป็นเกมรับหรือเกมรุก กลายเป็นแข้งคนสำคัญที่ทีมจะขาดไม่ได้ไปแล้วในตอนนี้

การประสานงานกับ จอร์จินโญ่ ถือว่า "ลงตัว" ในแง่ของรูปแบบการเล่น ก็องเต้ มีความเร็วและพัฒนาเรื่องการพาบอลไปกับตัวได้ดีเยี่ยม วิ่งอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และหลายครั้งก็ช่วยเสริมเกมรุกได้เป็นอย่างดีนอกเหนือจากเกมรับที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว


จอร์จินโญ่ มีทั้งบุ๋นและบู๊ นอกจากอ่านเกมขาดเขายังมีการจ่ายบอลทั้งสั้น-ยาวที่หวังผลได้ โดยเฉพาะการวางบอลตัดแนวรับคู่แข่งที่ถือเป็นอีกหนึ่งทีเด็ด

แต่สิ่งที่ขาดหายไปก็คือกองหน้าอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แม้มีทักษะที่ดี แต่ปัญหาที่เด่นชัดคือเรื่องของความเร็วที่เป็นข้อด้อยในจังหวะสวนกลับ

เกมของ แลมพาร์ด ไม่ต่างจากนัดเปิดสนามพรีเมียร์ลีก จุดแข็งก็คือการต่อบอลจังหวะเดียวที่เอาตัวรอดได้ดีในพื้นที่แคบๆ นักเตะช่วยกันเล่นจนนำมาซึ่งประตูขึ้นนำซึ่งต้องชมทั้งคนจ่ายและคนยิง

สกอร์ของ เชลซี น่าจะนำ 2-0 ด้วยซ้ายจากความยอดเยี่ยมของ คริสเตียน พูลิซิช ที่เลี้ยงจากทางซ้ายมาหน้าเขตโทษแล้วซัดบอลพุ่งเรียดตุงตาข่าย เพียงแต่เป็นจังหวะล้ำหน้าซะก่อน ซึ่งดูจากภาพช้าเหมือนจะอยู่ในแนวเดียวกับแนวรับ ลิเวอร์พูล แต่เมื่อวีเออาร์ยืนยันต้องเป็นไปตามนั้น


กับจังหวะเสียประตูตีเสมอในช่วงต้นครึ่งหลังคงต้องโทษคู่เซนเตอร์ทั้ง อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ คูร์ท ซูม่า ที่ปล่อยให้ ซาดิโอ มาเน่ วิ่งมายิงคนเดียวแบบนั้น

จังหวะที่ ฟาบินโญ่ ยกบอลเข้าเขตโทษให้ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ มี เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า พยายามวิ่งตามในขณะที่ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ออกมาปิดมุมมิด แต่กองหน้าทีมชาติบราซิลก็ฉลาดพอที่จะสะกิดบอลเข้ากลางมาให้ มาเน่ ที่วิ่งมาคนเดียวได้ยิงง่ายๆเข้าไป

ทั้งที่ในจังหวะนี้ทั้ง คริสเตนเซ่น และ ซูม่า อยู่ในกรอบ ขณะที่ มาเน่ วิ่งมาจากข้างนอก โดยเฉพาะกองหลังทีมชาติเดนมาร์กที่มองบอลลอยข้ามหัวไปตกที่ ฟีร์มิโน่ และปล่อยให้ มาเน่ วิ่งไปโดยไร้ตัวประกบ

คริสเตียน พูลิซิช ที่ดูจะไม่ค่อยสร้างอันตรายให้เกมรับคู่แข่งมากกนักโดนเปลี่ยนตัวออกพร้อมกับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่เริ่มหายไปจากเกม โดยเอา เมสัน เมาท์ กับ แทมมี่ อบราฮัม ลงมาแทน ก่อนที่คนสุดท้ายที่โดนเปลี่ยนช่วงท้ายเกมคือ อันเดรียส คริสเตนเซ่น แล้วเอา ฟิกาโย โทโมรี่ ลงเล่น


สกอร์ 90 นาทีจบลงด้วยการเสมอ 1-1 ต้องต่อเวลาพิเศษ และแค่ 5 นาที เชลซี ก็มาเสียประตูอีกครั้งจากการประสานงานของ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ และ ซาดิโอ มาเน่ ที่เล่นงานแนวรับของทีมสิงห์น้ำเงิน

เห็นได้ชัดเลยว่าตั้งแต่ ฟีร์มิโน่ ลงสู่สนามสามารถป่วนเกมรับของ "สิงห์บลูส์" ได้ตลอด ทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เหมือนจะเอาแข้งบราซิลเลี่ยนรายนี้ไม่อยู่ จนทีมปั่นป่วนแทบทุกครั้งที่โดนบุกเข้าใส่

แต่ท้ายที่สุดทีมก็มาตีเสมอได้เหมือนกันจากจุดโทษของ จอร์จินโญ่ หลังจากที่ แทมมี่ อบราฮัม โดน อาเดรียน ทำฟาวล์ในกรอบ จบเกมด้วยสกอร์ 2-2 ต้องดวลจุดโทษตัดสินกัน

และในช่วงบีบหัวใจ เชลซี ก็เกือบได้เฮในจังหวะของ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ที่เดาทางถูกและสัมผัสลูกยิงของ ดิว็อค โอริกี้ รวมถึง เทรน อเล็กซานเดอร์ อาร์โนลด์ แต่บอลยังเข้าประตู ก่อน แทมมี่ อบราฮัม คนสุดท้ายของทีมยิงพลาดทำให้พ่ายแพ้ไปในที่สุด


อีกครั้งที่ประสบการณ์และความนิ่งเป็นสิ่งที่กองหน้าดาวรุ่งผู้นี้ต้องเรียนรู้ แต่ในภาพรวมของทีมไม่มีอะไรต้องเสียใจ

อย่างที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด บอก เกมนี้ทีมทำได้ดี แต่บางครั้งเล่นดีอย่างเดียวไม่พอยังต้องพึ่งพาโชคด้วยเช่นกัน และจังหวะจบสกอร์ของทีมก็ยังเป็นปัญหาอยู่

ไม่ได้อยากเจาะลึกลงไปในเรื่องของเลือกผู้เล่นที่รับหน้าที่สังหารเป้า เพราะหากตัดกองหน้าวัย 21 ปีออกไปแล้ว ทีมยังมีนักเตะประสบการณ์สูงอย่าง เปโดร โรดริเกซ, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า หรือแม้แต่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่น่าจะทำได้ดีกว่าในช่วงบีบหัวใจแบบนี้

ของแบบนี้พลาดกันได้แม้แต่นักเตะที่ดีที่สุดในโลก แต่การยิงจุดโทษเป็นคนที่ 5 จาก 5 คน และทีมยิงทีหลัง เมื่อเทียบกับ ลิเวอร์พูล ที่วาง โมฮาเหม็ด ซาลาห์ เป็นคนสุดท้ายมันต่างกันจริงๆ

ไม่ได้ยิงก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าต้องทำหน้าที่ ยังไงก็ต้องมั่นใจว่าจะต้องเป็นคนที่ไว้ใจได้มากที่สุดคนหนึ่ง


เป็นอีกหนึ่งเกมที่เราได้เห็นปรัชญาการทำทีมในแบบของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ฟุตบอลเกมรุก ไม่มีมาตั้งรับให้น่ารำคาญ น่าจะถูกใจคอบอลที่ชมเกม

แต่ก็ถือเป็นอีกอย่างที่อาจจะต้องเรียนรู้กันต่อไปในเรื่องของ "จังหวะ" ของเกมที่บางครั้งก็ไม่จำเป็นที่จะต้องทำเกมรุกอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับคู่แข่งที่ศักยภาพใกล้เคียงหรือเหนือกว่าที่พร้อมจะเล่นงานหากคุณพลาด

อย่างที่เห็น ฟอร์มการเล่นของทีมจากสองเกมถือว่าน่าประทับใจ และน่าประทับใจมากๆด้วย แต่ในเมื่อผลการแข่งขันทีมที่ถูกชูมือให้เป็นผู้ชนะไม่ใช่พวกเขา ก็เท่ากับว่าพวกเขายังมีสิ่งที่ยังต้องปรับปรุงอยู่

เชื่อว่าคนที่คร่ำหวอดในวงการลูกหนังมาตลอดชีวิตอย่าง แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะหาจุดบกพร่องและแก้ไขให้ทีมกลับมาอยู่ในเส้นทางแห่งชัยชนะได้ในไม่ช้า


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด