ชัยชนะที่ได้ไม่ง่ายเลย
เชลซี จำเป็นต้องปรับทัพในแดนกลางเมื่อหัวใจสำคัญอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ มีอาการบาดเจ็บ ทำให้ มาเตโอ โควาชิช ลงจับคู่กับ จอร์จินโญ่ โดยมี รอสส์ บาร์คลี่ย์ อีกคน ส่วนผู้รักษาประตูกับแนวรับเหมือนเดิมทั้ง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า, เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, คูร์ท ซูม่า และ เอแมร์ซอน
สามประสานในแนวรุกก็ เปโดร โรดริเกซ ที่มีชื่อตอนแรกแต่ไปเจ็บในช่วงฟอร์มทำให้หลุดจากทีมไป เมสัน เมาท์ อยู่ทางซ้าย ปรับเอา คริสเตียน พูลิซิช ไปอยู่ทางขวา ส่วนหน้าเป้า แทมมี่ อบราฮัม ลงเล่นตัวจริง ในระบบ 4-3-3
เป็นอีกเกมที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ปรับนักเตะในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า โดยตลอด 3 เกมที่ผ่านมา นัดแรกกับ แมนฯ ยูไนเต็ด คือ แทมมี่ ส่วนเกมที่แล้วกับ เลสเตอร์ ซิตี้ เป็น โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และเกมนี้กลับมาเป็น แทมมี่ อีกครั้ง
เห็นได้ชัดว่าตำแหน่งนี้คือปัญหาจริงๆของทัพ "สิงห์บลูส์" และทีมก็คงจะยังแก้ไม่ตกถึงต้องมีการขยับปรับเปลี่ยน หรืออาจจะเป็นการปรับไปตามแท็คติกในการเจอกับคู่แข่งแต่ละทีม
เจ้าบ้านเปิดฉากได้ดีกว่าด้วยการครองบอลใส่ตั้งแต่ต้น แต่โอกาสแรกของผู้มาเยือนก็ได้ประตูจังหวะที่ เมาท์ วางบอลจากทางซ้ายข้ามมาทางขวาให้ พูลิซิช ไหลต่อให้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่เติมมาสุดเส้นตักบอลลอยมาตรงจุดโทษ แทมมี่ อบราฮัม ตวัดยิงด้วยขวาไม่ต้องจับบอลเรียดเข้าประตูให้ทีมนำอย่างรวดเร็ว
เป็นอีกครั้งที่เกมรุกในแบบฉบับของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด แสดงให้เห็นว่ามีทีเด็ดและ แทมมี่ ก็กะจังหวะและยิงได้อย่างดีเยี่ยม
แต่ดีใจแค่แป๊ปเดียว เชลซี ก็มาเสียประตูตีเสมอจากทีเด็ดของการประสานงานระหว่าง ท็อดด์ แคนท์เวลล์ กับ ตีมู ปุ๊กกี้ ก่อนจะเป็น แคนท์เวลล์ ที่จบสกอร์หลังเสียประตูแค่สามนาที
จังหวะเริ่มต้นตั้งแต่หน้าเขตโทษที่นักเตะ เชลซี พยายามรุมแย่งบอลแต่ไม่สำเร็จ เห็นแล้วคิดถึง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จริงๆ เพราะถ้าอยู่ในสนามน่าจะช่วยในจังหวะแบบนี้ได้ดี
ทว่านัดนี้ไม่เหมือนเกมกับ เลสเตอร์ ที่โดนแล้วเป๋ไปจากความเหนื่อยล้า, เชลซี ตั้งเกมขึ้นมาใหม่และมาได้ส้มหล่นจากการจ่ายบอลพลาดเองของเจ้าถิ่นจนมาจบที่ เมสัน เมาท์ ที่รับบอลจาก คริสเตียน พูลิซิช แล้วแตะจนช่องว่างเบ้อเร่อแล้วยิงเข้าไป
การบีบเกมสูงของ เชลซี ที่มีมาให้เห็นตั้งแต่ฤดูกาลที่แล้วสมัยของ เมาริซิโอ ซาร์รี่ ยังคงต่อยอดมาและทำได้ดีในปีนี้ ถ้าคู่แข่งพลาดก็พร้อมลงโทษ แม้แต่ตอนคู่แข่งเตะเปิดเกมก็ดันเกมสูงขึ้นมาบีบเลย
แต่เกมรับของ เชลซี ก็แสดงให้เห็นถึงความไม่แน่นอนในการเล่นเกมรับเมื่อโดน เอมิเลียโน่ บวนเดีย จ่ายทะลุช่องให้ ตีมู ปุ๊กกี้ หลุดเข้าเขตโทษด้านขวาก่อนยิงมุมแคบแม้จะติดมือ เกปา แต่ด้วยความแรงก็ยังปลิ้นเข้าประตูไป
ชัดเจนว่าลูกนี้คู่เซนเตอร์น่าจะทำได้ดีกว่านี้ คูร์ท ซูม่า ประกบห่างเกินไป ส่วน อันเดรียส คริสเตนเซ่น เหมือนสองจิตสองใจว่าจะเช็กล้ำหน้าและพอจังหวะจ่ายก็ขยับช้าไปสุดท้ายก็โดนลงโทษ
ถือเป็นครึ่งแรกที่เกมรุกของทีมยังทำได้ดีเหมือนเดิม ในขณะที่เกมรับก็ยังคงมีจุดอ่อนให้ต้องแก้ไขเหมือนเดิม
การออกสตาร์ทเกมครึ่งหลังของ เชลซี เปิดฉากด้วยความดุดันเปิดเกมบุกอย่างหนัก แสดงให้เห็นว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด ปลุกเร้าลูกทีมให้เร่งเครื่องเพื่อพังประตูให้เร็วที่สุด
แม้ว่าโอกาสเข้าทำอาจจะไม่ได้จบมากมายนัก แต่การกดดันเจ้าถิ่นอย่างต่อเนื่องก็เป็นการบีบให้ นอริช ซิตี้ ต้องถอยไปเล่นเกมรับมากขึ้น ซึ่งเวลาได้บอลจังหวะสวนกลับก็ทำได้ไม่ถนัดนัก
และจังหวะโต้ของ เชลซี ก็แสดงความเด็ดขาดออกมาให้เห็นอีกครั้งเมื่อ แทมมี่ อบราฮัม ที่อยู่ข้างหน้าคนเดียวรับบอลจาก มาเตโอ โควาชิช ก่อนได้ช่องยิงหักข้อนอกกรอบบอลเรียดเสียบเสาเข้าไปให้ทีมแซงนำอีกครั้ง 3-2
แม้ว่าจะมีโอกาสได้ประตูหลายครั้ง แต่โอกาสเสียประตูก็มีเช่นกัน โดยเฉพาะจังหวะโหม่งชนคานของ เบน ก็อดฟรี่ย์
การเปลี่ยนตัวก็ไม่มีอะไรพลิกแพลงเพราะสกอร์นำ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงมาเล่นแทน แทมมี่ อบราฮัม ในช่วง 15 นาทีสุดท้าย ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าในสถานการณ์ที่ทีมนำและเจ้าบ้านต้องบุก การมีกองหน้าที่มีความคล่องตัวและความเร็วอย่าง แทมมี่ น่าจะดีกว่าการเปลี่ยนเอาคนที่ช้าแบบ ชิรูด์ ลงสนาม
ส่วนในรายของ วิลเลี่ยน ที่ลงมาแทน คริสเตียน พูลิซิช น่าจะเป็นการลงเล่นเพื่อเรียกความฟิตกลับมาหลังจากที่ได้ลงเล่นในเกมที่แล้วกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ต้องใช้คำว่า "ห่วย" เลย
คนสุดท้ายลงมาในช่วงทดเจ็บ มาร์กอส อลอนโซ่ แทน เมสัน เมาท์ ที่เจ็บ แต่ไม่มีอะไรน่ากังวล ซึ่งเป็นช่วงท้ายเกมแล้วและถือเป็นการถ่วงเวลาไปนิดหน่อย
สุดท้ายทีมรักษาผลการแข่งขันพร้อมกับคว้าชัยชนะเป็นเกมแรกภายใต้การคุมทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ถือเป็นชัยชนะที่น่าจะเรียกความมั่นใจให้กับทีมได้หลังจากทำผลงานได้ดีแต่ผลการแข่งขันไม่เป็นใจ
ถือเป็นสามแต้มที่ได้มาแบบทะลักทุเลพอสมควร
เกมรุกของทีมยังคงความดุดันตามแบบฉบับที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ปลูกฝังปรัชญาของเขาสู่นักเตะ แต่ปัญหาเดิมๆอย่างเกมรับก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องแก้ไขกันต่อไป
ถึงตอนนี้ยังไม่รู้ว่าต่อให้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ หายกลับมาจะช่วยได้ดีแค่ไหน
แต่ตอนนี้ขอมองข้ามเรื่องนั้นแล้วฉลองกันให้เต็มที่กับชัยชนะเกมแรกของนายใหญ่คนใหม่กันหน่อย
เสียเท่าไรเสียไป ยิงให้ได้มากกว่าก็พอ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT