ยังดีที่มีแต้ม
จะให้บอกว่าทีมเล่นไม่ดีก็อาจจะไม่ถึงขั้นนั้น แต่ต้องปรบมือให้กับ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ที่เตรียมตัวมาได้อย่างยอดเยี่ยม
หลังเก็บชัยชนะนัดแรกภายใต้การคุมทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในเกมที่บุกคว้าชัยเหนือ นอริช ซิตี้ 3-2 ด้วยความชื่นมื่น "สิงห์บลูส์" กลับมาลงเล่นในรังสแตมฟอร์ด บริดจ์อีกครั้งพร้อมเป้าหมายทำให้แฟนๆในรังได้เฮกันบ้างหลังจากเกมแรกจบลงที่การเสมอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-1
นอกจากทีมจะไม่มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่เจ็บแล้ว "แลมพ์ส" ยังกล้าๆปรับเกมแดนหลังเอา ฟิยาโก้ โทโมรี่ แนวรับดาวรุ่งลงจับคู่กับ คูร์ท ซูม่า ในตำแหน่งเซนเตอร์แล้วถอด อันเดรียส คริสเตนเซ่น ไปเป็นสำรอง
นั่นทำให้ เชลซี มีสถิติค่าเฉลี่ยนักเตะอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์พรีเมียร์ลีก 24 ปี 158 วัน เท่านั้นในเกมนัดนี้
อะไรทำให้ แลมพาร์ด ตัดสินใจแบบนั้นคงมีแต่เขาคนเดียวเท่านั้นที่รู้
อาจจะเป็นเพราะรู้ถึงศักยภาพของทัพดาบคู่หลังซีซั่นที่แล้วคุม ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ก็เจอกันมา, อาจจะมองว่าด้วยศักยภาพของแนวรุกมีดีพอที่จะคว้าชัย หรือจะอะไรก็ตามแต่
ตลอดทั้งเกมของ เชลซี ไม่ได้เหนือกว่าคู่แข่งแบบเด็ดขาดเลย สิ่งที่เห็นได้ชัดคือเกมนี้การต่อบอลของทีมดูไม่มีสปีดเหมือนกับเกมที่ผ่านมา
ในนัดที่เจอกับ เลสเตอร์ ซิตี้ แม้ครึ่งหลังทีมจะตกเป็นเบี้ยล่าง แต่ก็ยังมีจังหวะต่อบอลสวยๆอยู่โดยเฉพาะในครึ่งแรก เกมรุกขึ้นเกมรวดเร็วและมีแบบแผน
ต่างจากเกมกับทีม "ดาบคู่" การขึ้นเกมบุกช้าลงอย่างชัดเจน นั่นแสดงให้เห็นว่าการขาด เปโดร โรดริเกซ ที่เจ็บส่งผลอย่างชัดเจน
แนวรุกของทีมในเกมนี้ทั้ง เมสัน เมาท์, รอสส์ บาร์คลี่ย์ และ คริสเตียน พูลิซิช ดูเหมือนจะเร็วแต่แทบจะไม่สร้างปัญหาในการเล่นงานคู่แข่งโดยเฉพาะในจังหวะสวนกลับ
ที่พูดถึงเกม "เคาน์เตอร์ แอทแท็ค" ก็เพราะเกมนี้ เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด ไม่ได้มารับแบบไม่ลืมหูลืมตา พวกเขามีจังหวะที่เปิดเกมบุกกดดันเจ้าถิ่นอยู่หลายครั้ง แต่พอตัดเกมได้การขึ้นเกมรุกของทีมกลับเชื่องช้าจนคู่แข่งลงไปรับกันแน่นแล้ว
สองประตูที่ได้ในเกมนี้ก็ต้องยอมรับว่าได้แบบมีโชคเหมือนกันและก็ต้องชื่นชม แทมมี่ อบราฮัม ที่ฉวยจังหวะได้อย่างดีเยี่ยม
เริ่มจากลูกแรกที่ ดีน เฮนเดอร์สัน ไปทำบอลลั่น เข้าใจได้ว่าอาจจะกลัวโดย คริสเตียน พูลิซิช ที่พุ่งเข้าหาบอลเตะใส่ แทมมี่ เลยได้ยิงสวนเข้าไป
ส่วนอีกลูกเป็นความผิดพลาดของแนวรับ เชฟฟิดล์ ยูไนเต็ด ไม่ให้เสียงกันจนกลายเป็นส้มหล่นให้ แทมมี่ ได้สังหาร
แต่หากไม่นับจังหวะได้ประตูแล้ว เชลซี แทบไม่ได้สร้างอันตรายให้กับผู้มาเยือนเลย การต่อบอลสวยๆแทบไม่มีให้เห็น
เกมทางริมเส้นไม่ได้สร้างอันตราย ฟูล-แบ็คเติมเกมบ่อยครั้ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่มีการเปิดเข้าไปให้ได้ลุ้น แม้จังหวะประตูแรกจากมาจากลูกเปิดของ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า แต่นั่นแทบจะเป็นจังหวะเดียวที่แบ็คชาวสเปนทำได้ดีตลอดทั้งเกม
ฝั่งซ้ายไม่ต้องพูดถึง เอแมร์ซอน อาจจะมีความฟิตและเล่นเกมรับได้ดี แต่ยามเติมขึ้นไปเล่นในเกมรุกต้องยอมรับว่ายังห่างชั้นกับ มาร์กอส อลอนโซ่ อยู่หลายช่วงตัว
สกอร์ที่นำอยู่ 2-0 กลายเป็นภาพลวงตา มันไม่ได้สอดคล้องกับรูปแบบการเล่นและโอกาสที่ทีมสร้างขึ้น แม้ในเกมฟุตบอลอาจจะมีคำพูดว่าไม่ต้องบุกเยอะ แต่ขึ้นมาและเข้าเป้าแค่นั้นพอ
แต่นั่นไม่ได้เกิดขึ้นในเกมนี้เลย
อาจจะมีวูบวาบบ้างในจังหวะวางบอลจากแดนตัวเองให้แนวรุกได้ลุ้น แต่ถ้าบอกก็ตามตรงก็คือแค่ได้ลุ้น แต่จะถึงขั้นเรียกเสียงฮือฮารึเปล่าก็คงต้องบอกว่าไม่
สัญญาณไม่ดีเปิดฉากตั้งแต่ค้นครึ่งหลังที่ทีมโดนตีไข่แตก ซึ่งต้องบอกว่ามันเกิดขึ้นในขณะที่ทีมเซ็ตเกมรับตามแบบแผนแต่กลับปล่อยให้คู่แข่งทะลุเข้าไปทะลวงตาข่าย
และจังหวะที่ คัลลั่ม โรบินสัน ได้ยิงมันง่ายเกินไปหน่อยกับทีมใหญ่อย่าง เชลซี ที่ไม่ควรพลาดแบบนี้กับการยืนตำแหน่งของการจัดเกมรับ
การต่อบอลสวยๆเพิ่งจะมาได้เห็นหลังเสียประตูแรกและทีมมีโอกาสทิ้งห่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ได้เปิดบอลมาหน้าเขตโทษให้ แทมมี่ อบราฮัม โฉบมายิงแต่ทาง ดีน เฮนเดอร์สัน เซฟได้อย่างยอดเยี่ยม
ถือเป็นช่วงเวลาสั้นๆที่ทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มีฮึดขึ้นมานิดหน่อยหลังถูกตีไข่แตก แต่หลังจากนั้นทุกอย่างก็หายไป
นายใหญ่ทัพสิงห์พยายามแก้เกมโดยการส่ง วิลเลี่ยน ลงมาแทน รอสส์ บาร์คลี่ย์ หลังครบหนึ่งชั่วโมงของเกม แต่ทุกอย่างก็เหมือนกับเกมที่ผ่านมา แข้งทีมชาติบราซิลไม่ได้ลงมาช่วยอะไรทีมเลย ไม่มีลูกพลิกแพลง, ไม่มีการจ่ายบอลได้-เสีย, ไม่มีการกระชากบอลหนีคู่แข่ง ไม่ต้องพูดถึงจังหวะสับไก
ทีมอาจจะไม่ได้โดนกดจนโงหัวไม่ขึ้นเหมือนในเกมที่โดน เลสเตอร์ ซิตี้ ไล่ตีเสมอ แต่ในภาพรวมทีมไม่ได้เหนือกว่าแล้ว
และการเปลี่ยนตัวก็สร้างความงุนงงให้แฟนบอลบอลอีกเมื่อเอา มาเตโอ โควาชิช กับ แทมมี่ อบราฮัม ออก คนที่ลงแทน มิชี่ บาตชูอายี่ ได้เล่น แต่อีกคนกลับเป็น บิลลี่ กิลมัวร์ ดาวรุ่งที่ไม่เคยสัมผัสเกมในสนามมาก่อนลงเล่นในช่วง 6 นาทีสุดท้าย
ถ้าจะบอกว่าประมาทก็อาจจะไม่ถึงขนาดนั้น แต่ก็อาจจะต้องยอมรับว่านักเตะคนที่เหลือข้างสนามมี วิลลี่ กาบาเยโร่, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, มาร์กอส อลอนโซ่ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ไม่มีใครเล่นเป็นกองกลางธรรมชาตินอกจากเจ้าหนูคนนี้คนเดียวเท่านั้น
แต่อย่างน้อยในเกมที่กำลังบีบคั้นกันอยู่แบบนี้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด น่าจะแสดงออกอะไรบางอย่างที่ทำให้เห็นถึง "กึ๋น" ที่มากกว่าแค่การเปลี่ยนนักเตะตามตำแหน่ง แถมยังเป็นเด็กที่ยังไม่เคยลงเล่นมาก่อนด้วย
และสุดท้ายทีมก็โดนตีเสมอก่อนหมดเวลาหนึ่งนาที และเป็นอีกครั้งที่ทีมโดนเจาะทางฝั่งขวาซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ก่อนที่ผู้โชคร้ายจะเป็น คูร์ท ซูม่า ที่พยายามสกัดแต่บอลโดนขาลอยเข้าประตูไป
ทั้งสองลูกที่เสียกัปตันทีมคนนี้มีส่วนต้องรับผิดชอบ แต่จะว่าไปมันก็คงจะต้องรับผิดชอบกันทั้งทีมนั่นแหละ
ถึงตอนนี้แฟน เชลซี ก็ยังคงต้องรอต่อไปกับการให้ทีมเก็บชัยชนะในบ้านนัดแรกภายใต้การคุมทีมของเจ้านายคนใหม่
ทีมจะได้พักเป็นเวลาสองสัปดาห์ซึ่งเป็นช่วงพักให้ทีมชาติได้ลงสนาม ก็ถือว่าให้เจ้านายและทีมงานได้พักตั้งสติและวิเคราะห์กับสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วง 4 เกมแรกของฤดูกาลนี้กันหน่อย
แล้วก็อย่าลืมภาวนาอย่าให้มีนักเตะเจ็บเพิ่มอีกล่ะ แค่ที่เจ็บกันอยู่และรอให้กลับมาตอนนี้ก็ลำบากพอแล้ว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT