:::     :::

หรือจะค้นพบแผนการเล่นใหม่

วันจันทร์ที่ 16 กันยายน 2562 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
5,163
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
5 คะแนนจาก 4 เกมแรก ดูจะเป็นตัวเลขที่ไม่ใคร่ที่จะน่าพอใจเท่าไรนักสำหรับสาวก เชลซี โดยเฉพาะการพลาดเก็บชัยชนะในบ้านที่พบกับ เลสเตอร์ ซิตี้ และน้องใหม่อย่าง เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด

การพักเบรกทีมชาติพอให้ได้หายใจหายคอกันอยู่บ้าง ถือว่าให้ได้พักกลับมานั่งคิดถึงความผิดพลาดในเกมล่าสุดที่ทำได้แค่เสมอกับทีม "ดาบคู่" มา

แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องเจอกับปัญหาปวดตับในการจัดทีมเมื่อลิสต์รายชื่อนักเตะเจ็บยาวเป็นหางว่าวทั้ง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย, รูเบน ลอฟตัส ชีค, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, รีซ เจมส์ และ เอแมร์ซอน แต่ก็ยังมีข่าวดีที่ได้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ กลับมาลงสนามเป็นเกมแรก

จากปัญหานักเตะบาดเจ็บทำให้การจัดทีมในเกมนี้ดูแปลกตาไปจากเดิมที่เล่นในระบบ 4-3-3 หรือจะ 4-2-3-1 เป็นการปรับมาเล่นกองหลัง 3 คนคือ รือดิเกอร์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ ฟิกาโย่ โทโมรี่ โดยถอด คูร์ท ซูม่า เป็นแค่สำรอง โดยมี เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า และ มาร์กอส อลอนโซ่ เป็นวิงแบ็กขวา-ซ้าย


แดนกลางให้ มาเตโอ โควาชิช กับ จอร์จินโญ่ ตัดเกมโดยมี วิลเลี่ยน ที่ลงเล่นตัวจริงเกมแรกปั้นเกมรุกกับ เมสัน เมาท์ โดยมี แทมมี่ อบราฮัม เป็นกองหน้าตัวเป้า

การจัดกระบวนอาจจะดูเปลี่ยนแปลงหลังตลอดฤดูกาลที่แล้ว เมาริซิโอ ซาร์รี่ มักจะเล่นกองหลัง 4 คนตลอด แต่ย้อนกลับไปในฤดูกาลก่อนหน้านั้น อันโตนิโอ คอนเต้ ก็เล่นในระบบนี้มาตลอด ซึ่งนักเตะก็คงจะปรับตัวได้ไม่ยาก

อาจจะมีแค่ ฟิยาโก้ โทโมรี่ ที่อาจจะไม่คุ้นเคยบ้าง ส่วนในแดนกลางและเกมรุกก็เล่นไปตามรูปแบบของเกมไป

นายใหญ่ "สิงห์บลูส์" น่าจะมองเห็นปัญหาในการเล่นเกมรับของทีม โดยเฉพาะในช่วงที่ไม่มี เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำให้เลือกที่จะส่งกองหลังไปเพิ่มเพื่อความเหนียวแน่น ยิ่งเป็นเกมเยือนด้วยแล้วแบบนี้น่าจะถือว่าปลอดภัยกว่า แม้ว่าตามหน้าเสื่อศักยภาพทีมจะเหนือกว่าก็ตาม


โดยเฉพาะแบ็กสองข้างที่ถือเป็น "แบ็กจอมบุก" ที่เติมเกมแล้วหากโดนสวนกลับคงลงมาไม่ทัน การมีเซนเตอร์ 3 คนย่อมดีกว่า 2 คน

ครึ่งชั่วโมงแรกของเกมเต็มไปด้วยความอึดอัด ไม่ใช่แค่นักเตะในสนามเท่านั้น แฟนบอลที่นั่งดูเกมทั้งที่อยู่ในสนามรวมถึงในการถ่ายทอดสดก็คงรู้สึกอึดอัดไม่ต่างกัน เพราะทั้งคู่ไม่ได้มีโอกาสลุ้นประตูเสียวๆให้ได้ลุกขึ้นยืนกันเลย

โดยเฉพาะทางฝั่งเจ้าบ้านที่ไม่ได้บอลเข้ามาถึงหน้าเขตโทษของผู้มาเยือนเลย เกมรับของ เชลซี ช่วยกันเล่นได้เป็นอย่างดี เพียงแต่เกมรุกของพวกเขาก็ไม่ได้สร้างอันตรายให้กับคู่แข่งเช่นกัน 

จ่ายบอลไม่ทะลุ เลี้ยงกินตัวไม่ได้ จังหวะยิงก็เลยไม่มีให้เห็นตลอดครึ่งชั่วโมงแรก 

แต่ทว่าในนาทีที่ 31 ทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มาได้ประตูขึ้นนำแบบงงๆที่ เมสัน เมาท์ พยายามพาบอลลุยโดนสกัดบอลมาเข้าทาง ฟิกาโย่ โทโมรี่ ปั่นด้วยขวาเกือบ 30 บอลลอยเสียบใต้คานเข้าประตูไปหน้าตาเฉย กลายเป็นประตูปลดล็อคให้ฝั่งทีมเยือนไปอย่างนั้นทั้งที่เกมไม่ได้มีอะไรเลย


และอีกแค่ 3 นาทีให้หลังสกอร์มาขยับ 2-0 ฟิกาโย่ โทโมรี่ ที่ติดใจพาบอลลุยถึงหน้าเขตโทษก่อนไหลให้ เมสัน เมาท์ โดนเหนี่ยวในกรอบ เฆซุส บาเยโฆ ก็พยายามมาช่วยสกัดกลายเป็นเข้าเท้า แทมมี่ อบราฮัม หมุนตัวยิงด้วยขวาบอลเข้าประตูไปเลย

เรียกได้ว่าสิงโตแห่งกรุงลอนดอนมาได้สองประตูในแบบที่แทบไม่ได้มีโอกาสลุ้นประตูอะไรเลย แต่การครองบอลแทบจะฝ่ายเดียว ผ่านบอลไปมาดูจะทำให้แนวรับของทัพหมาป่ามีช่องโหว่ได้เหมือนกัน

เท่านั้นยังไม่พอช่วง 5 นาทีท้ายของครึ่งแรก เชลซี ยังมาได้ประตูเพิ่มอีกจากจังหวะที่ มาร์กอส อลอนโซ่ เปิดอย่างเหมาะเหม็งให้ แทมมี่ อบราฮัม โหม่งเสียบตาข่าย สมบูรณ์แบบทั้งคนเปิดและคนโหม่ง

นี่คือข้อแตกต่างของ อลอนโซ่ กับ เอแมร์ซอน แม้แบ็กชาวสเปนจะช้ากว่า แต่เซนส์ในการเล่นเกมรุกต้องบอกว่าเหนือกว่าชัดเจน โดยเฉพาะการเปิดบอล


สกอร์ที่นำห่างถึง 3 ลูกในครึ่งแรกทำให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เลือกที่จะถอด อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่สภาพร่างกายยังไม่เต็มร้อยออกมาพักแล้วเอา คูร์ท ซูม่า ลงมาเล่นแทน

รูปเกมไม่เปลี่ยนแปลงอะไร แต่สิ่งที่ชัดเจนคือ เชลซี รุกคืบมากขึ้นและมาพังประตูเพิ่มหลังผ่านไป 10 นาทีของครึ่งหลังจากความยอดเยี่ยมของ แทมมี่ อบราฮัม รับบอลจาก จอร์จินโญ่ ก่อนดึงจังหวะหลอก คอเนอร์ โคอาดี้ เข้าเขตโทษด้านขวาแล้วสับไกบอลพุ่งเสียบเสาสองอย่างเด็ดขาดเป็นแฮตทริคของเจ้าตัวในเกมนี้

เรียกได้ว่าจังหวะนี้เป็นการเล่นด้วยความมั่นใจจริงๆ ทั้งจังหวะจับบอล แตะหลบคู่แข่งและสับไกต้องใช้คำว่า "สมบูรณ์แบบ" 


หลังได้ประตูที่สี่เกมของ เชลซี ผ่อนเกมลงไปชัดเจน ปล่อยให้ วูล์ฟส์ ได้บุกขึ้นมาต่อเนื่อง จนทีมมาเสียประตูตีไข่แตกจากลูกเตะมุม จนทีมต้องขยับเปลี่ยนคนที่สองเพิ่มความสดด้วยการเอา รอสส์ บาร์คลี่ย์ ลงมาเล่นแทน มาเตโอ โควาชิช หลังเสียประตูหนึ่งนาที ก่อนที่จะถึงคราวของ แทมมี่ อบราฮัม ที่ถอดออกมาพักให้ มิชี่ บาตชูอายี่ ลงเล่นแทนในช่วง 13 นาทีสุดท้าย

"สิงห์บลูส์" ดูกลับมามีชีวิตชีวามากขึ้นและกลับมาครองบอลได้อีกครั้งหลังโดนกดดันอยู่พักใหญ่ 

แต่ถึงอย่างนั้นทีมก็ยังมาสังเวยประตูที่สองให้กับเจ้าถิ่น ซึ่งดูเหมือนทีมจะไม่ได้ช่วยเล่นเกมรับกันอย่างแข็งขันอย่างที่เห็นกันในช่วงต้น


ยังดีที่ เมสัน เมาท์ ยังมาพังประตูในช่วงทดเจ็บให้แฟนสิงห์ได้เฮส่งท้ายกันอย่างสุดเสียง

ชัยชนะเกมที่สองของฤดูกาลที่ต้องบอกเป็นสามคะแนนที่สวยงามทั้งเรื่องของสกอร์และรูปแบบการเล่น แต่ก็ยังมีจุดต้องแก้ไขอยู่ เพราะทีมยังคงไม่สามารถเก็บคลีนชีตอย่างที่ต้องการ เท่ากับว่า เชลซี เสียประตูในเกมอย่างเป็นทางการทุกนัดภายใต้การคุมทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด

อีกอย่างที่ได้เห็นจากเกมนี้ก็คือเรื่องของระบบการเล่นแบบเซนเตอร์ 3 ซึ่งด้วยผลงานที่ดีเราอาจจะได้เห็นแผนการเล่นนี้อีกในอนาคต

หรือไม่แน่มันอาจจะเป็นการค้นพบรูปแบบใหม่ที่จะให้ทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไฉไลมากกว่าเดิมก็ได้ 


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด