ชัยชนะในบ้านที่ต้องรอต่อไป
เพราะว่ากันแล้วก็ต้องยอมรับว่าชั่วโมงนี้ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เป็นทีมระดับแถวหน้าไม่ใช่แค่ไหนอังกฤษแต่รวมถึงในยุโรป ในขณะที่ทัพ "สิงห์บลูส์" เหมือนอยู่ในช่วงตั้งไข่ที่หลายๆอย่างเกิดการเปลี่ยนแปลงในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา
ทั้งเรื่องตัวกุนซือที่ถือว่าเป็น "มือใหม่" รวมถึงการเสียสตาร์หมายเลขหนึ่งผู้เป็นทุกอย่างของทีมอย่าง เอแด็น อาซาร์
ผลงานโดยรวมถือว่าทำได้ไม่ได้ขี้เหร่อะไรแต่ปัญหาก็คือทีมไม่ได้ผลการแข่งขันที่ต้องการเท่านั้น
เกมกับ ลิเวอร์พูล ถือว่าทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด สมบูรณ์มากขึ้นเมื่อได้ตัวหลักอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กลับมาคุมแดนกลาง เช่นเดียวกับ เอแมร์ซอน ที่ฟิตกลับมาประจำการณ์ทางฝั่งซ้าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่านายใหญ่ทัพสิงห์ต้องการความชัวร์มากกว่าในการจับตาย โมฮาเหม็ด ซาลาห์
ในตำแหน่งเซนเตอร์ดูเหมือนว่า ฟิคาโย่ โทโมรี่ จะได้รับความไว้วางใจมากกว่า คูร์ท ซูม่า ไปซะแล้ว ส่วนทาง อันโตนิโอ รือดิเกอร์ มีปัญหาเจ็บรบกวนอีกแล้ว ทำให้คู่ขาในเกมรับเป็น อันเดรียส คริสเตนเซ่น
แดนกลางนอกจาก ก็องเต้ อีกสองคนคือ จอร์จินโญ่ กับ มาเตโอ โควาซิช ซึ่งไม่ถือว่าพลิกโผอะไร ส่วนในเกมรุก เมสัน เมาท์ กับ แทมมี่ อบราฮัม คือตัวหลักมาตั้งแต่ต้น ส่วนอีกคนเกมนี้เป็น วิลเลี่ยน ที่ได้โอกาสก่อน เป็นอีกเกมที่ทั้ง คริสเตียน พูลิซิช และ เปโดร โรดริเกซ นั่งสำรอง
ถือเป็นการจัดทีมที่สมเหตุสมผล แผงมิดฟิลด์มีศักยภาพเยี่ยมทั้งการเล่นเกมรับและการเล่นเกมรุก กองหน้าสามคนมีความเร็วในการเล่นงานคู่แข่ง
แฟร้งค์ แลมพาร์ด วางแผนมาเล่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับการหยุดสามประสานอย่าง โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่ต้องบอกว่าไม่ได้สร้างความอันตรายในเกมโอเพ่น เพลย์ให้กับทีมเจ้าบ้านเหมือนอย่างที่เห็นจากเกมอื่น
เพียงแต่ประตูแรกที่เสียดันมาจากลูกตั้งเตะที่บางครั้งถ้าคู่แข่งมีทีเด็ดก็ยากจะป้องกันได้ และสิ่งที่ได้เห็นคือ "หงส์แดง" มีการซ้อมลูกเล่นในลักษณะนี้กันมาเป็นอย่างดี
ฟรีคิกหน้าเขตโทษที่ดูว่าใกล้เกินกว่าที่จะปั่นข้ามกำแพง แต่ทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ เหนือกว่านั้นด้วยการเล่นของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่เขี่ยเปิดทางให้ เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ สับไกไปตรงมุมที่ เกปา อาร์รีซาบาล้า ยืนอยู่ แต่บอลมันแรงและพุ่งเสียบตาข่าย
แต่ปัญหาก็คือนักเตะเชลซีดูจะประมาทเกินไปหน่อย เพราะจังหวะสับไกของ เทรนท์ ในขณะที่ ซาลาห์ เขี่ยบอลมานั้น การบีบหรือการเข้ามาบล็อคทำได้ช้ามาก คนที่เข้ามาได้ใกล้ที่สุดอย่าง วิลเลี่ยน ยังอยู่ห่างออกไปถึง 4-5 ก้าว
และประตูก็คือบทลงโทษสำหรับความประมาทในครั้งนี้
นอกจากเสียประตูแล้วทีมยังโชคร้ายเสีย เอแมร์ซอน ที่มาเจ็บไปอีก ทำให้ มาร์กอส อลอนโซ่ ลงมาเล่นแทน แต่ไม่ใช่ว่าตั้งแง่กับแบ็กชาวสเปนทำผลงานไม่ดี แต่มันทำให้ทีมเสียโควต้าเปลี่ยนตัวแบบไม่จำเป็น
เชลซี ควรจะได้ประตูอย่างที่สุดในจังหวะที่ อันเดรียส คริสเตนเซ่น จ่ายบอลทะลุช่องให้ แทมมี่ อบราฮัม ได้หลุดแบบเดี่ยวๆ แต่กลับยิงไปติด อาเดรี่ยน อย่างไม่น่าเชื่อ
มองข้าม เมสัน เมาท์ ที่วิ่งมารออยู่ที่อีกด้านของประตูเพราะทาง เทรนท์ ก็ตามลงมาพร้อมสกัด แต่ยังไง แทมมี่ ก็ควรจะทำได้ดีกว่านี้ เพราะโอกาสทองกับทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ไม่ได้หากันได้ง่ายๆ
อีกหนกับจังหวะที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ได้ยิงเข้าไปแต่ต้องเฮเก้อเพราะหลังเช็กวีเออาร์ เมสัน เมาท์ ไปยืนล้ำหน้าตั้งแต่จังหวะแรกในการเปิดเกมรุกเลย
ไม่ต้องไปว่าความ "เถรตรง" ของเทคโนโลยีนี้ เพราะมันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ ตอนยังไม่มี "วีเออาร์" ก็เรียกร้องให้ใช้เทคโนโลยี ตั้งคำถามว่ามีแล้วทำไมไม่ใช้ แต่พอเอามาใช้ก็ไปว่าทำให้เกมฟุตบอลหมดความสนุกไป
ก็นานาจิตตัง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ เชลซี ไม่ได้ประตูจากจังหวะนี้
และหลังจากโดนริบประตูเหมือนโชคชะตาเล่นตลกทีมยังมาเสียฟรีคิกสุดท้ายโดน โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ วิ่งมาโหม่งคนเดียวตุงตาข่าย
การเล่นเกมรับของ เชลซี ดูเหมือนจะเน้นการคุมโซนมากกว่าที่จะให้นักเตะตามประกบใคร ทำให้กองหน้าทีมชาติบราซิลที่วิ่งมาจากด้านนอกลอยมาโหม่งแบบไม่มีใครตามเลย
แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังคงเจอเรื่องโชคร้ายยิ่งกว่านั้นอีกในช่วงท้ายเมื่อ อันเดรียส คริสเตนเซ่น มาเจ็บอีกจากจังหวะที่ ฟิคาโย่ โทโมรี่ ที่พยายามพุ่งมาเพื่อบล็อคลูกยิงของ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ กลายเป็นพุ่งเสียบไปที่ข้อพับหลังเข่าเพื่อนซะอย่างนั้น จนทีมต้องเปลี่ยนผู้เล่นคนที่สองตั้งแต่ยังไม่จบครึ่งแรก
เกมรุกของทีมดูจะทำอะไรได้ไม่เป็นชิ้นเป็นอันเท่าไรนัก โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่ แทมมี่ อบราฮัม แทบไม่มีส่วนกับเกมเลย ในขณะที่ ลิเวอร์พูล เล่นง่ายแต่ก็ยังบีบเกมสูงไม่ได้ปล่อยให้ขึ้นเกมง่ายๆ
แต่กระนั้น เชลซี ก็ยังมีลูกผีจับยัดของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่พาบอลหนี ฟาบินโญ่ ไปยิงเสียบตาข่ายชนิดที่ไม่มีใครคาดคิด ต้องบอกว่าจังหวะนี้ ฟาบินโญ่ ประมาทที่ไม่ไล่ตาม ก็องเต้ ให้สุดจนท้ายที่สุดทำให้ทีมเสียประตู
แต่ เจอร์เก้น คล็อปป์ เหมือนจะมองเห็นจุดนี้ เพราะพอทีมเสียประตูก็ส่ง เจมส์ มิลเนอร์ ลงมาช่วยกระชับพื้นที่ให้ทีมในทันที
ไพ่ตายใบสุดท้ายของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด อาจจะขัดใจแฟนบอลไปสักหน่อยเมื่อเอา มิชี่ บาตชูอายี่ ลงมาแทน แทมมี่ อบราฮัม ไม่ได้ส่งตัวรุกลงมาเพิ่มเพื่อทวงประตูคืนให้ได้ เหมือนอย่างที่แฟนบอลต้องการ
ตอนแรกคิดว่านายใหญ่ทัพสิงห์จะเอา มาเตโอ โควาซิช ออกแล้วเพิ่มเกมรุก แต่กลับได้เห็นการเปลี่ยนกองหน้าแทนกองหน้าซะงั้น
ทีมบุกหนักจริงในช่วงท้ายแต่น่าเสียดายไม่ได้สร้างโอกาสในการพังประตูอะไรมากมาย ในที่สุดก็จบลงด้วยความพ่ายแพ้ไป
ความพ่ายแพ้ในเกมนี้จะบอกว่าน่าเสียดายหรือเปล่าก็สามารถพูดได้แบบนั้น เพราะต้องยอมรับว่าเกมนี้ เชลซี ทำผลงานกันได้ดีอย่างสมดุล
ที่บอกว่าสมดุลก็คือแข้งสิงห์ช่วยกันเล่นกันได้ดีมากทั้งในเกมรับและเกมรุก โดยเฉพาะในเกมรับที่แทบจะปิดโอกาสโอเพ่น เพลย์ของ ลิเวอร์พูล ได้เกือบทั้งหมด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ไม่ได้สับไกเลย หรือจะบอกว่าไม่ผ่านเจ้าหนู ฟิคาโย่ โทโมรี่ ได้เลย ต้องชมแข้งวัย 21 ปีที่ตอบแทนความไว้ใจของเจ้านายด้วยฟอร์มอันยอดเยี่ยมอย่างต่อเนื่อง
แต่แพ้ก็คือแพ้ ฟุตบอลไม่มีคะแนนให้กับผลงานที่ดี เมื่อทีมยิงประตูได้น้อยว่าก็ต้องมือเปล่าไป
เชลซี ยังคงมีปัญหาในเกมรุกโดยเฉพาะในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าที่ดูเหมือนว่า แทมมี่ อบราฮัม จะยังไม่นิ่งพอเมื่ออยู่ในสถานการณ์คับขันหรือการลงเล่นเจอกับทีมใหญ่
อย่างที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด บอกหากหวังจะก้าวไปถึงตำแหน่งยอดกองหน้า ต้องทำให้ดีในเกมใหญ่ ซึ่งทาง แทมมี่ ยังคงต้องเรียนรู้และพัฒนาต่อไป
หลังจากนี้ทีมมีสองเกมติดต่อกันในบ้านเริ่มจากกลางสัปดาห์ที่จะเจอกับ กริมสบี้ ในศึกคาราบาว คัพ ตามด้วยการเปิดบ้านพบกับ ไบรท์ตัน
หวังว่าชัยชนะในบ้านเกมแรกให้แฟนๆได้เฮคงจะไม่ต้องรออีกนะ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT