ประมาทเท่ากับแพ้
เพราะแทนที่จะเข้ารอบ แต่ยังต้องไปลุ้นในเกมสุดท้าย น่าจะมีผลต่อสภาพจิตใจอยู่เหมือนกัน
ที่สำคัญยังต้องมาเสียกองหน้าตัวเก่งอย่าง แทมมี่ อบราฮัม มาเจ็บไปอีก
ศึก “ลอนดอน ดาร์บี้” กับ เวสต์แฮม ทำให้ต้องปรับทีมโดยเฉพาะในรุก โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ได้ออกสตาร์ทตัวจริงในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้า โดยมี เปโดร โรดริเกซ กับ เมสัน เมาท์ ที่ได้ลงเป็นสามประสานกับ คริสเตียน พูลิซิช
มิดฟิลด์พัก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ให้ จอร์จินโญ่ กับ มาเตโอ โควาซิช ทำหน้าที่ กองหลังปรับสองตำแหน่งให้ เอแมร์ซอน กับ ฟิคาโย่ โทโมรี่ ลงประสานงานกับ คูร์ท ซูม่า และ รีซ เจมส์ ผู้รักษาประตูยังเป็น เกปา อาร์รีซาบาลาก้า
เกมไม่มีอะไรแปลกปลอม เชลซี เป็นฝ่ายเดินหน้ากดดันอย่างต่อเนื่อง ขาดอย่างเดียวก็คือไม่สามารถส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้
รูปแบบเกมรุกยังคงเป็นแบบเดียวกับที่เราเห็นมาตลอดฤดูกาลนี้ เพิ่มเติมบ้างคือการเปิดบอลทางริมเส้นโดยเฉพาะทางขวา แต่กลับไม่ตรงเป้าอย่าง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่แทบไม่มีบทบาทกับเกมรุกเลย
สามประสานในแนวรุกทั้ง พูลิซิช, เมาท์ และ เปโดร เปิดฉากกดดันทีมเยือนอย่างต่อเนื่อง แต่กลับไม่สามารถเจาะกำแพงอันแข็งแกร่งของผู้มาเยือน
เกมนี้ที่บุกอยู่ข้างเดียวดูแล้วมันน่าจะอุ่นใจได้อยู่ เพราะรูปเกมต้องบอกว่าเหนือกว่าชัดเจน แม้จะยิงไม่ได้แต่ดูแนวโน้มหากเป็นแบบนี้ยังไงก็น่าจะได้ประตูแน่
แต่ครึ่งหลัง เวสต์แฮม ลงสนามพร้อมทำได้ดีอย่างเหลือเชื่อ จากที่ตั้งรับเกือบในครึ่งแรกกลับมีแรงฮึด โดยเฉพาะในจังหวะโต้ที่ทุกครั้งที่ขึ้นมาเล่นเอาแฟนบอล "สิงห์บลูส์" หายใจไม่ทั่วท้องกันเลยทีเดียว
และมันก็นำมาซึ่งประตูแรกซึ่งต้องชม อารอน เครสเวลล์ ที่ทำได้ดีทั้งในจังหวะหลอกและจังหวะยิงเรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ
หลังจากนั้นเกมของ เชลซี ดูตื้อลงไป จนต้องเอา เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่มาความเร็วและสอดทะลุได้ดีลงมาแทน จอร์จินโญ่ รวมถึง วิลเลี่ยน ที่แทน เปโรด โรดริเกซ
ในขณะที่เกมบังไม่ดีขึ้น แฟร้งค์ แลมพาร์ด เปลี่ยนตัวคนสุดท้ายกลับเอา คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ลงแทน โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ในตำแหน่งหน้าเป้า กลายเป็นว่าทีมไม่มีกองหน้าแล้ว
ดูเหมือนว่าระบบการเล่นที่ไม่คุ้นนี้ทำให้การยืนตำแหน่งของนักเตะดูสับสนอยู่บ้าง จังหวะบุกแข้งส่วนใหญ่อยู่หน้าเขตโทษซึ่งแนวรับคู่แข่งยืนกันแน่นอยู่แล้ว
สุดท้ายเจาะไม่ได้ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ เป็นการแพ้เกมลีกเป็นนัดที่สองติดต่อกัน จากที่อาจจะมีลุ้นแชมป์ตอนนี้คงต้องกลับมาลุ้นพื้นที่แชมเปี้ยนส์ ลีกเหมือนเดิม
แถมนี่ยังเป็นเกมแรกนับตั้งแต่นัดเปิดฤดูกาลที่แพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด 0-4 ที่ทีมเจาะตาข่ายคู่แข่งไม่ได้ด้วย
แฟร้งค์ แลมพาร์ด เองก็ยอมรับว่าเกมนี้ลูกทีมทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐาน แต่ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการจัดทีมเหมือนกัน
ในแนวรับไม่ต้องพูดถึงเยอะแม้จะให้ รีซ เจมส์ เล่นแทน เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ในตำแหน่งแบ็คขวา แต่แบ็คดาวรุ่งชาวอังกฤษทำผลงานได้ดีต่อเนื่องที่ลงสนาม รวมถึงเกมนี้ถือว่าโดดเด่นไม่เป็นรองใคร
แต่ในแดนกลางที่เลือกพัก เอ็นโกโล่ ก็องเต้ รวมถึงแนวรุกที่พัก วิลเลี่ยน เข้าใจว่าทั้งคู่กรำศึกมาอย่างต่อเนื่อง และในช่วงนี้ก็มีโปรแกรมหนัก แต่นั้นแหละ มันส่งผลถึงเกมอย่างชัดเจน
อีกตำแหน่งที่จะไม่พูดถึงไม่ได้เลยก็คือกองหน้าที่ โอลิวิเย่ร์ ชิรูด์ แทบจะไม่มีบทบาทกับทีมตลอด 71 นาทีที่อยู่ในสนาม เก็บบอลไม่ได้, ไม่มีจังหวะ บางทีก็ช้าเกินไป
ที่สำคัญคือเมื่อถึงจังหวะต้องเปลี่ยน ทั้งที่ข้างสนามมี มิชี่ บาตชูอายี่ อยู่ แต่กลับเลือก คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่เป็นนักเตะทางริมเส้น
แน่นอนด้วยศักยภาพนักเตะที่ลงเล่นมีดีพอที่จะเอาชนะ เวสต์แฮม ได้อยู่แล้ว เมื่อมองที่ผลงานทีม "ขุนค้อน" ที่ไม่ชนะใครมา 8 เกมติด แถมแพ้มาในสามเกมหลังและเสียประตูนัดละ 3 ลูกในสามนัดหลังด้วย ซึ่ง แลมพาร์ด ก็ยอมรับว่ามั่นใจว่าทีมที่ส่งลงสนามมีดีพอที่จะชนะได้
วันแบบนี้มันก็เกิดขึ้นได้ วันที่นักเตะเล่นไม่ออก แต่วันนี้มันเผอิญพากันเล่นไม่ออกทั้งทีมนั่นแหละ
ต้องยอมรับว่าเกมนี้เป็นหนึ่งในไม่กี่เกมในซีซั่นนี้ที่ทีมทำผลงานได้ต่ำกว่ามาตรฐานจริงๆ เพราะที่ผ่านมาแม้ว่าจะแพ้หรือเสมอ แต่รูปเกมของทีมไม่ได้เป็นรองคู่แข่งเลย
ในเมื่อมันเกิดขึ้นในเกมนี้ก็ต้องยอมรับไป ส่วนหนึ่งมาจากการจัดทีมและการแก้เกมด้วยนั่นแหละที่อาจจะมั่นใจเกินไปว่าทีมจะเก็บสามแต้มได้
โอกาสแก้ตัวเกมถัดไปจะได้เล่นในบ้านอีกครั้งจะเจอกับ แอสตัน วิลล่า ทีมน้องใหม่ในบ้าน ที่ยังไงต้องเน้นเพื่อสามคะแนนเท่านั้น
เชื่อว่าต่อไป แฟร้งค์ แลมพาร์ด คงจะไม่ติดประมาทในการจัดทีมเหมือนอย่างในเกมนี้อีกแล้ว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT