ความพ่ายแพ้ให้กับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในเกมล่าสุด ทำให้แฟนบอลเริ่มเกิดความสงสัยว่าสรุปแล้วเกิดอะไรขึ้นกับทีมรักในช่วงนี้
นั่นแสดงให้เห็นว่า “สิงห์บลูส์” กลายเป็นทีมที่พร้อมชนะทุกทีมแต่ก็พร้อมแพ้ทุกทีมไปแล้ว
7 เกมหลังแพ้ไปถึง 5 ทำให้สถานการณ์ลุ้นท็อปโฟร์เริ่มโดนผู้ตามไล่บี้ขึ้นมาทั้ง แมนฯ ยูไนเต็ด, สเปอร์ส (ที่เพิ่งชนะมา) หรือแม้แต่ เอฟเวอร์ตัน ที่ทิศทางกำลังมาดีทีเดียว
หลังผ่านความพ่ายแพ้มาหมาดๆ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังยึดระบบการเล่น 3 เซนเตอร์เหมือนเดิมมี อันโตนิโอ รือดิเกอร์, คูร์ท ซูม่า และ ฟิคาโย่ โทโมรี่ ทำหน้าที่ วิงแบ็ค เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กับ เอแมร์ซอน พัลมิเอรี่ เหมือนเดิม ส่วนมิดฟิลคู่กลางให้ มาเตโอ โควาซิช ลงประสานกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ แทนที่ของ จอร์จินโญ่ ที่หลุดไปเป็นสำรอง
เกมรุก คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย หลุดออกจากทีม เป็นทาง เมสัน เม้าท์ ลงทำประสานงานกับ แทมมี่ อบราฮัม และ วิลเลี่ยน
ทั้งสองทีมออกสตาร์ทด้วยรูปแบบการเล่นที่เหมือนกันเลยก็คือบีบเกมสูงตั้งแต่หน้าเขตโทษของคู่แข่ง ไม่ปล่อยให้ได้ตั้งเกมกันง่ายๆ
แต่ดูการเล่นของ อาร์เซน่อล ดูจะมั่นใจว่าและเกมบุกมีจังหวะเข้าทำและได้จบ
กระทั่งมาได้ประตูจากลูกเตะมุมหลังผ่าน 13 นาที เมซุต โอซิล เปิดเข้ากลาง คาลั่ม แชมเบอร์ส โหม่งบอลมาหน้าประตู ปิแอร์ เอเมริก โอบาเมย็อง สอดมาโหม่งจ่อๆเข้าไป
ลูกนี้ เอแมร์ซอน ต้องรับผิดชอบเต็มๆจากที่วิ่งไล่ประกบอยู่แต่กลับไปยืนรอบอลจนโดนกองหน้าคู่แข่งวิ่งจากด้านหลังปาดหน้ามาโหม่งประตู
เกมของ เชลซี ไม่กระเตื้องเลยโดยเฉพาะเมื่อบอลขึ้นสู่แดนคู่แข่ง แทมมี่ อบราฮัม แทบไม่ได้บอล กระทั่งถึงครึ่งชั่วโมง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ตัดสินใจแก้เกมอย่างรวดเร็ว
จอร์จินโญ่ ถูกส่งลงสนามแทน เอแมร์ซอน พร้อมปรับระบบการเล่นกองหลัง 4 คน โดยขยับเอา ฟิคาโย่ โทโมรี่ ไปยืนแบ็คขวาให้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า อยู่ทางซ้าย
เกมของ เชลซี ดูเหมือนจะกระเตื้องขึ้น แต่ปัญหาคือจังหวะจบสกอร์ที่ไม่อาจจะเจาะเกมรับของ อาร์เซน่อล เข้าไปได้เลย
ครึ่งหลังเกมจะดีขึ้น ได้ครองบอลมากขึ้น แต่ปัญหาเหมือนเดิมคือการขึ้นเกมรุก ทีมยังเล่นมากจังหวะเกินไป จนสุดท้ายคู่แข่งถอยมารับหมด
ที่สำคัญ อาร์เซน่อล เล่นบอลกันเหมือนว่าเป็นวันสุดท้ายของชีวิต วิ่งไล่กันอย่างบ้าคลั่ง แนวรุกลงมาช่วยอุดช่องในตำแหน่งแบ็คจนเกมริมเส้นของ เชลซี ทำอะไรลำบาก
ที่สำคัญเมื่อถึงจังวะขึ้นเกมรุกสามารถทะลุทางริมเส้นได้เกือบตลอด และในจังหวะเปิดจะมีตัวที่สอดมาจากด้านหลังอยู่เสมอ
จังหวะที่น่าจะชัดเจนของทีมคงเป็นลูกเตะมุมที่ แทมมี่ อบราฮัม ได้ขึ้นโหม่งเน้นๆคนเดียวแต่ก็ดันไปตรงตัว แบร์นด์ เลโน่ อีก
เชลซี ครองบอลบุกเยอะจริง เพราะทาง อาร์เซน่อล เองก็ปล่อยให้ได้เล่นแล้วรอสวนกลับเอา แต่การคุมโซนก็ยังแน่นหนาไม่เปลี่ยนแปลง
ทว่า “สิงห์บลูส์” ที่เกมรุกแทบไม่สร้างอันตรายอะไรกลับมาตีเสมอได้แบบมีโชคจังหวะฟรีคิกริมเส้นด้านซ้าย เมสัน เม้าท เปิดเข้ากลาง แบร์นด์ เลโน่ จั่วลมเต็มบอลเลยมาเสาสอง จอร์จินโญ่ ยืนอยู่คนเดียวแค่เอาขาโดนบอลเข้าประตูโล่งๆให้ทีมตีเสมอนาทีที่ 83
อาร์เซน่อล ต้องมาเปิดเกมบุกเพื่อขึ้นนำอีกครั้งกลายเป็นเปิดช่องให้ เชลซี ที่ได้ความมั่นใจได้จังหวะสวนกลับ สุดท้าย แทมมี่ อบราฮัม ส่งบอลสู่ก้นตาข่ายเป็นประตูชัยให้ทีมบุกคว้าสามแต้มกลับรังชนิดที่แฟนบอลยังไม่อยากเชื่อ
ถือเป็นสามคะแนนสำคัญช่วยให้ทีมพอหายใจคล่องขึ้นหน่อยหลังโดน แมนฯ ยูไนเต็ด ไล่บี้ขึ้นมา ถ่างช่องว่างให้ห่างเป็น 4 คะแนนเหมือนเดิม
ชัยชนะในเกมนี้ถือเป็นชัยชนะเกมที่ 4 ในการเจอกับทีมร่วมเมือง 5 นัดในช่วงครึ่งซีซั่นแรก มีแค่เกมแพ้ เวสต์แฮม คาบ้านเท่านั้นที่ทำให้เสียประวัติไป
แต่การเอาชนะในการมาเยือน "ลอนดอนเหนือ" ทั้งที่ สเปอร์ส และ อาร์เซน่อล คงทำให้แฟนสิงห์ยืดอกคุยได้ว่าตอนนี้ "ลอนดอนเป็นสีน้ำเงิน"