ความพ่ายแพ้เกมพรีเมียร์ลีกในบ้าน 3 จาก 4 เกมหลังบีบให้ เชลซี ต้องเร่งเครื่องเก็บสามแต้มให้ได้ในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ หลังจากที่โดยผู้ตามไล่จี้ขึ้นมาแล้ว
สามเกมที่แพ้ให้กับ เวสต์แฮม, บอร์นมัธ และ เซาธ์แฮมป์ตัน ทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยิงประตูไม่ได้เลย ซึ่งถือว่าผิดปกติวิสัยเมื่อดูจากฟอร์มทะลวงตาข่ายของทีมในซีซั่นนี้
อาจจะเป็นเรื่องแปลกไปสักหน่อยเมื่อผลงานในลีกซีซั่นนี้ของ "สิงห์บลูส์" เกมเยือนทำได้ดีกว่าในบ้าน โดยเก็บไปแล้วถึง 22 แต้มจาก 11 เกม ดีที่สุดเป็นอันดับ 3 เป็นรองแค่ ลิเวอร์พูล และเท่ากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่ประตูได้-เสียดีกว่า
แต่ในรังพวกเขาแพ้มาแล้วถึง 4 จาก 11 เกม ยิงได้แค่ 11 ลูกจาก 10 เกม ต้องบอกว่าน้อยจนน่าใจหาย
นั่นเป็นที่มาของการจัดทีมบู๊กับ เบิร์นลี่ย์ ที่ดูเหมือนจะเน้นเกมรุกเต็มที่เลยนอกจากสนามแนวรุกอย่าง แทมมี่ อบราฮัม, วิลเลี่ยน และ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย แผงกองกลางอย่าง เมสัน เมาท์ และ รอสส์ บาร์คลี่ย์ ก็ออกแนวถนัดในการเล่นเกมรุกมากกว่าเกมรับ โดยมี จอร์จินโญ่ เป็นตัวประคองเกม
กองหลังว่าไปแล้วถือว่าขยับเยอะเลยมีแค่ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่ยืนตำแหน่งเซนเตอร์เหมือนเดิม อีกคนที่เล่นต่อก็คือ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ขยับจากทางขวาแล้วให้ รีซ เจมส์ ลงมาทำหน้าที่แบ็คขวา ส่วนเซนเตอร์อีกคน อันเดรียส คริสเตนเซ่น โดยผู้รักษาประตู เกปา อาร์รีซาบาลาก้า เหมือนเดิม
เกมก็เดินไปตามแบบที่แฟนบอลคาดคิดไว้ไม่ผิด เชลซี เดินหน้าบุกเข้าใส่ด้วยกำลังที่มี ในขณะที่ เบิร์นลี่ย์ มาเน้นรับรอโอกาสสวนกลับ แต่ทีมแทบจะเจาะเข้าไปหาจังหวะสับไกไม่ได้เลย
แม้ว่าจะเพิ่มความหลากหลายในเกมรุกด้วยการเอากองกลางจอมยิงไกลอย่าง รอสส์ บาร์คลี่ย์ ลงมา แต่การที่ทีมเยือนลงไปยืนต่ำทำให้หาช่องไม่ได้เลย
แถม เบิร์นลี่ย์ ยังทำแสบมาส่งบอลสู่ก้นตาข่ายจากลูกฟรีคิกที่ เบน มี โหม่งตั้งให้ เจฟฟ์ เฮนดริค โขกเข้าไป แต่ผู้กำกับเส้นยกธง และหลังจากเช็กวีเออาร์แล้วก็ล้ำหน้าไปก่อน
นั่นเป็นสัญญาณเตือนชั้นดีให้ "สิงห์บลูส์" ต้องระวังตัวมากขึ้นกว่าเดิม
ส่วนเกมรุกที่ครองบอลเดินหน้าเข้าใส่อย่างหนักแต่เจาะไม่เข้า ทว่าเกมรับที่เล่นกันอย่างมีระเบียบอยู่ดีๆ แม็ทธิว ลอว์ตัน กลับลั่นไปเสียบ วิลเลี่ยน ในจังหวะกระชากเข้าเขตโทษ ที่ดูแล้วยังไงก็คงไม่ได้โอกาสสับไก และสตาร์ทีมชาติบราซิลก็พร้อมที่จะร่วงลงไปกองอยู่แล้ว ขอเพียงแค่มาปะทะด้วยเท่านั้นและมันก็เกิดขึ้นจริงๆ ก่อนที่ จอร์จินโญ่ จะสังหารไม่พลาดปลดล็อคให้ทีมขึ้นนำ
หลังจากนั้นเกมของ เชลซี ก็เล่นง่ายๆขึ้นเลย ไม่ต้องกดดันอะไรมากจนมาได้ประตูที่สองจังหวะที่ รีซ เจมส์ เปิดบอลจากทางขวาเข้ากลาง แทมมี่ อบราฮัม โหม่งกดลงพื้นเข้าประตูไป
เรียกได้ว่าจังหวะนี่มันเหมาะเจาะพอดี บอลที่เปิดเข้ามาอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดคือเปิดมาตรงกลางระหว่างคู่เซนเตอร์ แทมมี่ ขึ้นโหม่งบอลกดลงไป แม้ว่าจะไม่ได้ไกลตัว นิค โป๊ป แต่การโหม่งบอลลงพื้นแถมระยะค่อนข้างจ่อแบบนี้ทำให้รับมือได้ยาก
จากนั้นต้นครึ่งหลังก็มาได้ประตูที่สามจังหวะที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เปิดบอลลึกไปเสาสอง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย สอดมาชาร์จเข้าไป ซึ่งประตูนี้ทำให้ตัวรุกชาวอังกฤษเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่พังตาข่ายให้ เชลซี ในพรีเมียร์ลีกเป็นลูกแรกด้วยวัย 19 ปี 65 วัน นับตั้งแต่ คาร์ลคัน โคล ทำเอาไว่ 18 ปี 197 วัน ในเกมกับ มิดเดิ้ลสโบรช์ เมื่อเมษายน 2002
ต้องบอกว่าอันที่จริงเกมจบตั้งแต่ครึ่งแรกแล้ว ไม่ใช่ว่าดูถูก เบิร์นลี่ย์ แต่มองมุมไหนพวกเขาก็ทวงประตูคืนไม่ได้ ด้วยคุณภาพในเกมที่เป็นรองพอสมควร
ถือว่าเป็นสามแต้มที่ได้มาโดยง่ายกว่าที่คิดเมื่อมองจากเกมที่ผ่านมา เพราะ เบิร์นลี่ย์ มาพังเองจากการเสียจุดโทษแบบไม่น่าเสีย ทำให้เกมไปเข้าทางเจ้าบ้านหมดเลย
ถึงกระนั้นก็ต้องยกเครดิตให้กับบรรดาผู้เล่นสิงโตน้ำเงินที่ทำหน้าที่กันได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่อง
โดยเฉพาะในรายของ รีซ เจมส์ ที่ถึงตอนนี้คงไม่มีใครสงสัยแล้วว่าทำไมเขาถึงสมควรได้ลงเล่นในตำแหน่งแบ็คขวาหากไม่มีอาการบาดเจ็บ เพราะด้วยความฟิตที่เต็มที่ การเติมเกมรุกที่สามารถช่วยทีมได้อย่างมหาศาล รวมถึงลูกครอสเข้ากลางซึ่งเป็นหนึ่งในสิ่งที่เกมรุกของ เชลซี ขาดหายไป
ไม่จำเป็นต้องมีกองหน้าที่รูปร่างสูงใหญ่ แต่ขอให้เข้าใจกับ แทมมี่ อบราฮัม การเปิดบอลก็พร้อมที่จะไปอยู่ในจุดที่สามารถพังประตูได้
แฟร้งค์ แลมพาร์ด เองก็ชื่นชมเจ้าหนูรายนี้อย่างมาก พร้อมยกย่องว่านี่คืออีกหนึ่งอาวุธของทีมที่เอาไว้เล่นงานคู่แข่ง
อีกคนก็คือ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่แสดงให้เห็นแล้วว่ามีของหากได้โอกาสลงเล่นต่อเนื่อง ด้วยสไตล์การเล่นที่พร้อมลากเลื้อยใส่คู่แข่งและด้วยความเร็วที่เล่นงานแนวรับได้ เป็นอีกหนึ่งทีเด็ดทั้งในจังหวะเกมรุกและเกมสวนกลับอย่างที่เราได้เห็นกัน
ไม่แปลกที่ เชลซี ยอมจ่ายค่าเหนื่อยก้อนโตต่อสัญญากันท่า บาเยิร์น มิวนิค ที่พยายามอย่างหนักเพื่อดึงตัวไปร่วมทีมให้ได้
ยิ่งทำประตูได้ก็ยิ่งเพิ่มพูนความมั่นใจให้เต็มที่ หลังผ่านเรื่องร้ายๆจากอาการบาดเจ็บอย่างรุนแรงมา ซึ่งทางเจ้านายก็ไม่พลาดชมว่านี่แหละ ฮัดสัน-โอดอย ตัวจริง เสียงจริง
ชัยชนะในเกมนี้คงช่วยเพิ่มความมั่นใจให้กับทีมก่อนจะบุกไปเยือน นิวคาสเซิ่ล ในสัปดาห์หน้า และตามด้วยเกม "ลอนดอน ดาร์บี้" ที่จะเปิดศึกกับ อาร์เซน่อล หลังจากที่เพิ่งบุกไปชนะมาถึงเอมิเรตส์ สเตเดี้ยมเมื่อปลายเดือนธันวาคมที่ผ่านมา
หวังว่าชัยชนะในเกมนี้คงได้ความมั่นใจกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้ง โดยเฉพาะกับการเล่นในสแตมฟอร์ด บริดจ์