ชัยชนะเหนือ ลิเวอร์พูล ในเกมเอฟเอ คัพเมื่อกลางสัปดาห์ดูจะดึงให้ เชลซี กลับมาอยู่กับร่องกับรอยอีกครั้ง
คงไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ "หงส์แดง" ส่งสำรองลงเล่นหลายคน อย่างนั้นดูจะไม่ให้เครดิต "สิงห์บลูส์" เท่าไร
จุดสำคัญในเกมบอลถ้วยคือการเห็น เกปา อาร์ซาบาลาก้า กลับมาลงสนามอีกครั้ง หลังจากนั่งดู วิลลี่ กาบาเยโร่ เฝ้าเสามา 5 เกมเต็ม ซึ่งต้องบอกว่าสภาพทีมในช่วงนั้นก็ไม่ได้ดีขึ้นเท่าไร เสียประตูทุกเกมอยู่ดี
แต่ก็เข้าใจ แฟร้งค์ แลมพาร์ด กับสถิติของทีมที่เสียถึง 43 ประตูจาก 31 เกมทุกรายกับที่มือกาวชาวสเปนเฝ้าเสา อาจจะต้องมีการขยับเปลี่ยนแปลงกันบ้าง
เพราะด้วยขนาดทีม สิงโตน้ำเงินแห่งกรุงลอนดอนไม่ควรเสียประตูขนาดนี้
ถึงกระนั้นช่วงที่ไม่ได้ลงสนามอาจจะทำให้ เกปา ได้ทบทวนและถอยออกมาเป็นคนนั่งดู เหมือนกับคนที่บอกว่า "คนอยู่นอกวงมักแจ่มใสกว่า"
การกลับมาในเกมเอฟเอ คัพดูเจ้าตัวจะมีความมั่นใจมากขึ้น ไม่ได้เสียมันไปอย่างที่ถูกคาดการณ์กันเอาไว้ รวมถึงเรื่องข่าวทีมมองหาผู้รักษาประตูคนใหม่ก็ไม่ได้รบกวนเจ้าตัว
"สิงห์บลูส์" ยึดระบบ 4-3-3 อีกครั้งเช่นเดียวกับเกมเจอ ลิเวอร์พูล โดนเปลี่ยนแค่ตำแหน่งเท่านั้นคือ มาเตโอ โควาซิช ที่เจ็บส่ง เมสัน เมาท์ ลงมาเล่นแดนกลางร่วมกับ บิลลี่ กิลมัวร์ ที่ถือว่าทำได้โดดเด่นลงเล่นต่อและ รอสส์ บาร์คลี่ย์ เป็นสามประสาน ส่วนเกมรุก วิลเลี่ยน, เปโดร โรดริเกซ และ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ทำหน้าที่
กองหลัง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, คูร์ท ซูม่า และ มาร์กอส อลอนโซ่ ลงเล่นเหมือนเดิมเช่นเดียวกับ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ที่เฝ้าเสาต่อ
สถานการณ์ก่อนเกมดูเหมือนว่าทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ต้องเจอกับความยากลำบากเมื่อแผงกองกลางขาดแกนหลักที่สามารถใช้คำว่า "ยกแผง" ได้เลยเมื่อไม่มีทั้ง จอร์จินโญ่ ติดโทษแบน, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่เจ็บ เช่นเดียวกับ มาเตโอ โควาซิช
แต่เมื่อลงสนามดูเหมือนว่าเหล่ากองกลางจะทำหน้าที่ได้เป็นอย่างโดยเฉพาะเจ้าหนู บิลลี่ กิลมัวร์ ที่ใช้คำว่ารู้หน้าที่ไม่มีหลุดตำแหน่งเลย
นั่นทำให้แบ็คทั้งสองฝั่งสามารถเติมเกมบุกขึ้นไปได้อย่างสบายใจ
เกมของ เชลซี ออกสตาร์ทได้อย่างเหนือกว่า นักเตะครองเกมไม่เปิดโอกาสให้กับ เอฟเวอร์ตัน เลยแม้แต่น้อย กระทั่งการขึ้นเกมทางซ้ายมาประสบผลสำเร็จได้ประตูขึ้นนำซึ่งต้องชมความคล่องตัวของ เปโดร โรดริเกซ พลิกบอลมาที่ เมสัน เมาท์ พลิกตวัดยิงตุงตาข่าย
ประตูแรกมาทุกอย่างก็ง่ายขึ้นทันตา และตามมาด้วยประตูที่สองหลังจากนั้นไม่นานเมื่อ รอสส์ บาร์คลี่ย์ จ่ายบอลทะลุช่องให้ เปโดร โรดริเกซ ใช้ความเร็วสปีดหลุดไปยิงผ่านตัว จอร์แดน พิคฟอร์ด เข้าไป
เป็นลูกแรกของตัวรุกชาวสเปนในลีกฤดูกาลนี้เลย หลังก่อนหน้านี้เคยทำได้ในศึกคาราบาว คัพ
ทุกอย่างอยู่ในกำมือของ "สิงห์บลูส์" หมดเลยทั้งการครองบอล, สร้างสรรค์เกม, โอกาสทำประตู
แม้จะมีเสียวเล็กๆจากจังหวะพลาดของ คูร์ท ซูม่า ที่เสียบอลตรงกลางสนามให้ ริชาร์ลิซอน ไหลให้ โดมินิค คัลเวิร์ต-เลวิน ได้ยิงแต่ยังดีที่บอลไม่เข้ากรอบ
สกอร์ 2-0 ในครึ่งหลังต้องบอกว่าเป็นเกมที่สาวกสิงโตน้ำเงินดูบอลอย่างสบายใจ เพราะ เอฟเวอร์ตัน แทบไม่ได้สร้างอันตรายอะไรเลย
ทีมของ คาร์โล อันเชล็อตติ เหมือนจะฮึดขึ้นมาเล็กน้อยในช่วงต้นครึ่งหลัง แต่เมื่อโดนสองลูกติดๆจากลูกยิงนอกกรอบของ วิลเลี่ยน และจังหวะชาร์จชอง โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ให้สกอร์ไปไกล 4-0 ทุกอย่างก็แทบจบแล้วในช่วงเวลาที่เหลือ
"สิงห์บลูส์" ไม่มีอะไรต้องเสี่ยง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ขยับเปลี่ยนตัวคนแรกหนึ่งชั่วโมงของเกมพอดีเอา เมสัน เมาท์ ออกแล้วส่ง รีซ เจมส์ ลงมาแทน แต่แท็คติคไม่มีการเปลี่ยนแปลง เจมส์ ลงมาทำหน้าที่ในแดนกลางไปเลย ไม่ต้องปรับแผนให้วุ่นวายเพราะเกมกำลังดีอยู่แล้ว ก่อนที่ ฟาอุสติน อันโจริน จะลงมาแทน วิลเลี่ยน และปิดท้ายที่ อาร์มานโด้ โบรย่า กองหน้าดาวรุ่งชาวแอลเบเนีย โอลิวิเยร์ ชิรูด์
สามคนที่ลงมาล้วนเป็นผู้เล่นดาวรุ่งทั้งนั้น มีแค่ เจมส์ ที่เห็นหน้าบ่อยหน่อย ส่วนอีกสองคนนี่ไม่คุ้นหน้าเลย ถือเป็นการให้โอกาสเด็กได้สัมผัสเกมระดับนี้
จุดที่น่าสนใจคือ เชลซี ไม่ได้ไปเน้นการครองเกมอะไรมากมาย พวกเขาพร้อมที่จะบุกและยิงประตูเสมอยามที่ได้บอล ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากการอัดอั้นจากผลงานในช่วงหลัง รวมถึงการยิงประตูในบ้านที่ 14 เกมก่อนหน้านี้ทำได้แค่ 18 ลูกเท่านั้น
เรียกได้ว่าน้อยที่สุดในทีมท็อป 10 ของตารางเลย
ชัยชนะเกมนี้ถือเป็นการต่อยอดจากเกมคว้าชัยเหนือ ลิเวอร์พูล ทำให้ทีมยังคงรั้งอันดับ 4 ของตารางอย่างเหนียวแน่น
ในสัปดาห์หน้าทีมจะเจอกับ แอสตัน วิลล่า ก่อนที่จะไปเยือน บาเยิร์น มิวนิค ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก
มองกันไปทีละเกมเพราะตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคงจะอยู่ที่ท็อปโฟร์ของตาราง
ส่วนบอลถ้วยอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หรือ เอฟเอ คัพ ถือว่าเป็นโบนัสไปก่อนละกัน