เล่นไม่ดีแต่คว้าชัยก็พอ
เพราะว่าในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่เกมแรกโดน บาเยิร์น มิวนิค บุกถล่มถึงบ้าน 0-3 คงยากที่จะหวังบุกไปเอาชนะคืนที่เยอรมันได้ถึง 4 ประตู ถ้ามองจากความเป็นจริง
นั่นทำให้เอฟเอ คัพคือความหวังในการมีแชมป์ประดับตู้โชว์ของสโมสรในปีนี้
แต่ก็ต้องยอมรับว่าด่านที่เหลืออยู่นั้นล้วนแล้วแต่ยากเย็นที่เดียว ชัยชนะเหนือ เลสเตอร์ ซิตี้ 1-0 ที่ได้มาในรอบก่อนรองชนะเลิศก็ต้องยอมรับว่าหืดจับจริงๆ
ทีมต้องมีปารปรับทัพจากเกมล่าสุดที่ชนะ "เรือใบ" ในเรื่องของความสดที่ต้องลงเล่นติดๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด เฉลี่ยนักเตะในทั้งสองเกมออกมาได้ลงตัวทีเดียว
ทว่าสิ่งหนึ่งที่ต้องยอมรับจากเกมที่คิง พาวเวอร์ก็คือนักเตะในทีมแต่ละคนทำผลงานกันได้ไม่ดีเท่าไรนัก แต่สุดท้ายยังควักผลการแข่งขันที่ต้องการกลับมาได้
เพราะดูจากสถิติหลังจบเกมหากไม่นับการครองบอลที่เหนือกว่านิดหน่อยของ "สิงห์บลูส์" ทาง เลสเตอร์ ซิตี้ ทำได้ดีกว่าทั้งในเรื่องของการหาจังหวะจบสกอร์ เตะมุม และการเข้าทำแต่เจาะตาข่ายไม่ได้เท่านั้น
แม้แต่ทาง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยังยอมรับว่าทีมไม่ได้เล่นในมาตรฐานที่ดี แต่ก็พอใจที่ได้ชัยชนะ
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งก็ต้องยกย่องการแก้เกมของนายใหญ่ทัพสิงห์ด้วยที่จบครึ่งแรกตัดสินใจเปลี่ยนแข้งอายุน้อยอย่าง รีซ เจมส์, เมสัน เมาท์ และ บิลลี่ กิลมัวร์ ออก และเอาแข้งประสบการณ์อย่าง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, รอสส์ บาร์คลี่ย์ และ มาเตโอ โควาซิช ลงมาเล่นแทน
"ผลการแข่งขันเป็นสิ่งน่าพอใจและการเข้ารอบตัดเชือกก็น่าพอใจด้วยเช่นกัน เรายังไม่ได้อยู่ในระดับที่เคยทำได้ในวันนี้ - เราอยู่ในระดับต่ำกว่าที่เราเคยทำได้ - แต่ผมแฮปปี้กับผลการแข่งขัน เราคว้าชนะและต้องเรียนรู้จากความผิดพลาดในการเล่นของเราเอง"
"ผมไม่ต้องการพูดให้มันดูแย่หลังจากนี้, คุณต้องแสดงความกล้าหาญออกมาเพื่อเอาชนะในวันที่เล่นได้ไม่ดี, เราเดินหน้าสู่ก้าวต่อไป เราสามารถหยุดเรื่องบอลถ้วยเอาไว้และโฟกัสที่การชนะเกมลีกเพื่อโควต้าแชมเปี้ยนส์ ลีก"
"มันเป็นการเรียนรู้ประสบการณ์ ผมสามารถถอดผู้เล่นออกได้มากกว่านี้หรือนักเตะคนอื่น, พวกเขาล้วนเป็นผู้เล่นระดับท็อปและเล่นในระดับท็อป แต่ถ้าผมต้องทำอะไรสักอย่างผมจะทำ, มันเป็นเกมที่เราจะต้องทำอะไรบางอย่าง"
"เราเปิดพื้นที่ให้ เลสเตอร์ และเสียบอลง่ายเกินไป, เราโชคดีที่พวกเขาไม่สามารถคว้าโอกาสไว้ได้ การเปลี่ยนตัวทั้ง 3 คนช่วยให้ทีมมีชีวิตชีวิตและประสิทธิภาพที่ดีขึ้น"
ถือว่าตอนนี้ เชลซี มีข่าวดีอย่างต่อเนื่องเลย ได้นักเตะใหม่, แข้งอย่าง วิลเลี่ยน กับ เปโดร โรดรีเกซ ที่หมดสัญญาก็อยู่ช่วยทีมต่อไปจนกว่าจะจบฤดูกาล, นักเตะกลับมาพร้อมสมบูรณ์, ทีมอยู่ในฟอร์มที่ดีชนะมา 3 เกมติดต่อกันหลังกลับมาลงสนาม ซึ่งหากนับรวมช่วงก่อนเบรกทีมก็ชนะมา 5 เกมติดแล้วด้วย
ในรอบถัดไปทีมจะต้องเจอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ถือเป็นบทพิสูจน์ฝีมือของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ที่ตะได้โอกาสแก้มืออีกครั้ง หลังจากที่ตลอดทั้ง 3 เกมที่เจอกันในซีซั่นนี้ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้เรียบทั้งในลีกที่พ่าย 0-4 ในเกมเปิดสนาม และ 0-2 ที่เล่นในบ้าน รวมถึงเกมคาราบาว คัพที่แพ้ 1-2 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย
แต่เส้นทางในระหว่างนี้ก่อนที่จะเจอกันก็อย่างที่ แลมพาร์ด บอกก็คือทีมจะต้องบู๊ในเกมลีกก่อนอีก 5 เกม ก่อนที่จะฟาดแข้งกับ "ปีศาจแดง"
ช่วงการแข่งขันที่แน่นเอี๊ยดทุก 3 วัน คงต้องดูว่าจะโรเตชั่นยังไงเพื่อความสมบูรณ์ที่สุดของนักเตะ
ก็ขึ้นอยู่กับฝีมือบวกดวงด้วยว่านักเตะจะไม่เจออาการบาดเจ็บเล่นงานกับการที่จะต้องเล่นกันติดๆแบบนี้ หวังว่าช่วงที่เหลือทีมจะพร้อมสู้ศึกเพื่อบรรลุเป้าหมายที่เหลืออยู่ในฤดูกาลนี้ทั้งท็อปโฟร์และแชมป์เอฟเอ คัพ
เริ่มจากสถานีต่อไปในเกมลอนดอน ดาร์บี้ที่ ลอนดอน สเตเดี้ยม กับ เวสต์แฮม ก่อนเลย
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT