แข้งเมืองเบียร์แห่งรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์
ส่วนเรื่องค่าตัวที่ตามที่รายงานระดับ 71 ล้านปอนด์นั้น ทำให้แข้งทีมชาติเยอรมันกลายเป็นผู้เล่นที่แพงที่สุดเป็นอันดับ 2 ที่ทัพ "สิงห์บลูส์" เคยซื้อมาร่วมทีมเลย
อันดับหนึ่งไม่ใช่ใครที่ไหนก็คือ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า นั่นเองที่แพงกว่านิดหน่อยที่ 71.6 ล้านปอนด์ และนั่งอยู่ในตำแหน่งผู้รักษาประตูที่ค่าตัวสูงที่สุดในโลก
ไค ฮาแวร์ตซ์ ถือเป็นนักเตะชาวเยอรมันคนที่ 8 ที่มาค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ ซึ่งที่ผ่านมาก็มีทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและล้มเหลว
เท่ากับว่าตอนนี้ทีมจะมีแข้งขากเมืองเบียร์ในทีม 3 คน ร่วมกับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่ย้ายมาร่วมทีมเมื่อปี 2017 ส่วนอีกคนคือ ทิโม แวร์เนอร์ ที่เป็นเด็กใหม่เหมือกัน
หากไม่นับคนแรกอย่าง เซบาสเตียน ไนเซิ่ล ที่มาอยู่กับทีมช่วงปี 2000-2005 ที่ไม่ได้ลงเล่นให้กับทีมเลย เท่ากับว่าอีก 5 คนก่อนหน้านี้ล้วนได้โชว์ฝีเท้ากันไปแล้ว
ลองดูกันว่าแต่ละคนเป็นยังไงและใครคือคนที่ทำได้ดีที่สุด
มาร์โค มาริน
ถือเป็นหนึ่งในแข้งชาวเยอรมันที่น่าจับตามองหลังก้าวขึ้นมาทำผลงานได้อย่างโดดเด่นทั้งกับ โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค และ แวร์เดอร์ เบรเมน กระทั่งย้ายมาอยู่กับ เชลซี ในปี 2012
ปีแรกดูจะเป็นไปด้วยความกระท่อนกระแท่น และแทบไม่ได้รับโอกาสลงสนามเลย โดยเฉพาะในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่มทั้ง 6 เกมนั้นไม่ได้ลงสนามเลยแม้แต่วินาทีเดียว
ส่วนในเกมพรีเมียร์ลีกแม้ตัวเลขจะบ่งบอกว่าลงเล่น 6 เกม แต่หากดูตัวเลขนาทีนั้นลงสนามแค่ 142 นาทีเท่านั้น หรือจะในยูโรปา ลีกที่สุดท้ายทีมไปถึงตำแหน่งแชมป์ มาร์โค มาริน ก็ลงเล่นแค่ 90 นาทีจาก 3 นัด ยังดีที่ได้เหรียญแชมป์มาด้วย
บทสรุปลงสนาม 16 เกม ทำได้ 1 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ในปีแรก และหลังจากนั้นแฟนบอลก็ไม่ได้เห็นเขาในสีเสื้อของ เชลซี อีกเลยเพราะโดนปล่อยให้ เซบีย่า, ฟิออเรนติน่า, อันเดอร์เลชท์ และ แทร็บซอนสปอร์ ใช้งานกระทั่งย้ายไป โอลิมเปียกอส ในปี 2016
โรเบิร์ต ฮูธ
เด็กหนุ่มจากเบอร์ลินที่เดินทางมาอยู่กับ เชลซี เมื่อปี 2001 ด้วยวัยเพียง 17 ปี โดยได้ชิมลางเล่นในเกมสุดท้ายของฤดูกาล 2001/02 โดยลงเล่นแทน เยสเปอร์ โกรนชาร์ ในช่วงพักครึ่งเกมที่ทีมพ่าย แอสตัน วิลล่า 1-3 ก่อนที่จะก้าวขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่เต็มตัวในอีกหนึ่งปีให้หลัง
โรเบิร์ต ฮูธ ถือเป็นเด็กที่คอบอลได้เห็นหน้ากันอยู่ไม่น้อยในสีเสื้อของ เชลซี เพราะได้ลงเล่นอยู่เรื่้อยๆ ด้วยรูปร่างที่สูงใหญ่เหมาะกับสไตล์ฟุตบอลอังกฤษ เพียงแต่เจ้าตัวก็ไม่สามารถที่จะยืนหยัดจนขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญหรือพัฒนาฝีเท้าจนถึงขีดสุดได้
4 ปีในฐานะแข้งทีมชุดใหญ่แข้งจากเมืองเบียร์ลงเล่น 61 เกมทำได้ 2 ประตูก่อนย้ายไปอยู่กับ มิดเดิ้ลสโบรช์ ตามด้วยการไปเป็นกำลังหลักของ สโต๊ค ซิตี้
แต่สิ่งที่แฟนบอลจดจำได้ดีก็คือการที่เจ้าตัวไปคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อังกฤษกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในปี 2015/16 อย่างยิ่งใหญ่และพลิกความคาดหมาย ซึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่เจ้าตัวภาคภูมิใจอย่างที่สุด มากกว่าการได้แชมป์ลีก 2 สมัยกับ "สิงห์บลูส์" อีก
น่าเสียดายที่ตอนเจ้าตัวเหมือนจะเริ่มตั้งตัวได้แต่การมาของ โรมัน อบราโมวิช และ โชเซ่ มูรินโญ่ ก็ปฏิวัติ เชลซี ทำให้เจ้าตัวหมดโอกาสไปด้วยเช่นกัน
อันเดร เชือร์เล่
ยังรู้สึกเหมือนเพิ่งผ่านมาไม่นานที่ อันเดร เชือร์เล่ เปิดบอลให้ มาริโอ เกิทเซ่ ยิงผ่านมือ เซร์คิโอ โรเมโร่ ตุงตาข่ายให้ เยอรมัน ชนะ อาร์เจนติน่า 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษเวิลด์ คัพ 2014 ก้าวไปคว้าแชมป์โลกเป็นสมัยที่ 4 ของชาติ
สตาร์จากเมืองเบียร์ย้ายมาค้าแข้งในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์เมื่อปี 2013 ภายใต้การคุมทีมของ โชเซ่ มูรินโญ่ โดยสวนทางกับ มาร์โค มาริน ที่โดนปล่อยให้ทีมอื่นยืมตัวไปเลยไม่ได้เล่นด้วยกัน
ปีแรกกับทีมต้องบอกว่าหอมหวานทีเดียวกับการลงสนาม 43 เกมทุกรายการ ทำไป 9 ประตูกับ 3 แอสซิสต์ ช่วยให้ทีมคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกมาครองด้วย
และในซัมเมอร์นั้นเองเจ้าตัวไปคว้าแชมป์โลกกับทีมชาติเยอรมันได้อย่างยิ่งใหญ่
แต่ทว่าในฤดูกาล 2014/15 กลับเป็นปีที่น่าผิดหวังและอยู่กับทีมแค่ครึ่งซีซั่นก่อนโดนปล่อยให้กับ โวล์ฟสบวร์ก ในช่วงตลาดหน้าหนาวของปี 2015 ปิดฉากเส้นทางกับ "สิงห์บลูส์" ในเวลาแค่เพียงหนึ่งปีครึ่งเท่านั้น
อันโตนิโอ รือดิเกอร์
หลังจากสร้างชื่อมากับ สตุ๊ตการ์ท และไปเสริมกระดูกกับ โรม่า จนถูกใจ อันโตนิโอ คอนเต้ ดึงมาร่วมทีม เชลซี
แม้ในปีแรกจะผิดหวังกับผลงานของทีมในพรีเมียร์ลีก แต่ก็ยังมีถ้วยเอฟเอ คัพติดมือได้ ซึ่ง อันโตนิโอ รือดิเกอร์ คือกำลังหลักของทีมอย่างไม่ต้องสงสัยกับการลงสนาม 45 เกม โดยทำ 3 ประตูกับ 2 แอสซิสต์
ปีที่สองกับผู้จัดการทีมคนที่สองอย่าง เมาริซิโอ ซาร์รี่ แม้ในเรื่องของตัวเลขอาจจะไม่ดีเท่าปีแรก แต่ก็ลงเล่น 44 เกมกับผลงาน 1 ประตู
และในฤดูกาลที่แล้วกับการเล่นภายใต้ผู้จัดการทีมอีกคนเป็น แฟร้งค์ แลมพาร์ด ถือเป็นปีที่ยากลำบากเมื่อเจออาการบาดเจ็บเล่นงานไปเกือบครึ่งซีซั่นแต่สุดท้ายก็กลับมาฟิตและช่วยทีมได้สำเร็จ
แม้จะปิดฉากด้วยการเป็นแค่รองแชมป์เอฟเอ คัพ แต่ก็มีสถิติที่น่าสนใจในนัดที่เจ้าตัวโหม่งคนเดียวสองประตูให้ทีมในเกมเสมอ เลสเตอร์ ซิตี้ 2-2 ถือเป็นเซนเตอร์คนแรกที่ทำสองลูกในเกมเดียวให้กับทีมนับตั้งแต่ที่ จอห์น เทอร์รี่ ทำได้ในเกมกับ ฟูแล่ม เมื่อปี 2013
ตลอด 3 ปีที่ผ่านมาเขาคือกำลังสำคัญของทีม ต้องดูกันว่าการมาของ ติอาโก้ ซิลวา จะส่งผลต่อตำแหน่งตัวจริงรึเปล่าหรือไม่อาจจะเกื้อหนุนกันให้ไปได้ดียิ่งขึ้น
ซีซั่นนี้เดี๋ยวรู้กัน
มิชาเอล บัลลัค
หนึ่งในกองกลางที่ดีที่สุดในโลกเป็นที่รู้จักสมัยอยู่กับ เลเวอร์คูเซ่น ก่อนมาโด่งดังสุดขีดกับ บาเยิร์น มิวนิค ด้วยการกวาดแชมป์มากมาย
การย้ายมาค้าแข้งกับ เชลซี ต้องยกความดีความชอบให้นายใหญ่ในเวลานั้นอย่าง โชเซ่ มูรินโญ่ ที่โน้มน้าวใจเป็นผลสำเร็จทั้งที่มียอดทีมของยุโรปมากมายทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เรอัล มาดริด, อินเตอร์ มิลาน และ เอซี มิลาน จีบกันอย่างหนัก
เพราะเป็นการได้ตัวมาแบบฟรีๆนั่นเอง
ในวัย 30 ปีตอนย้ายมาอยู่ในรั่วสแตมฟอร์ด บริดจ์ ความยอดเยี่ยมของ มิชาเอล บัลลัค ช่วยยกระดับการเล่นของทีมขึ้นมาอย่างไม่ต้องสงสัย แม้จะไม่ได้เปรี้ยงปร้างเหมือนสมัยอยู่กับ "เสือใต้" ที่เหนือกว่าคู่แข่งร่วมลีกทุกกระบวนท่า สถิติย่อมดีเป็นธรรมดา
25 ประตูกับ 24 แอสซิสต์จาก 166 เกมทุกรายการ คือสิ่งที่ บัลลัค นำมาสู่ทีม และเขายังช่วยให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด นายใหญ่คนปัจจุบันของทีมก้าวขึ้นมาเป็นยอดกองกลางของโลกด้วย
แม้จะป็นรองแชมป์พรีเมียร์ลีกทั้ง 2 หน รวมถึงรองแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกในปี 2008 แต่ก็มาประสบความสำเร็จได้แชมป์ลีกกับทีมในปี 2010 รวมถึงมีแชมป์เอฟเอ คัพ 3 สมัย และ ลีก คัพ อีก 1 สมัย ก็ต้องบอกว่านี่คือนักเตะชาวเยอรมันที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดกับ เชลซี จนถึงตอนนี้
รอดู ไค ฮาแวร์ตซ์, ทิโม แวร์เนอร์ รวมถึง อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ว่าจะสามารถช่วยทีมคว้าแชมป์ได้มากน้อยแค่ไหน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT