ถึงเวลาติดเครื่อง
ไม่ได้บอลว่าทีมเล่นดีโคตรๆอะไรขนาดนั้น แต่เมื่อเทียบกับฟอร์มตั้งแต่ออกสตาร์ทซีซั่นนี้ คงต้องบอกว่าทีมดูจะทิศทางที่ดีขึ้น
ขออนุญาตไม่นับเกมถล่ม บาร์นสลี่ย์ 6-0 ในเกมคาราบาว คัพ เพราะคู่แข่งเกรดต่ำกว่าพอสมควร (แถมทีมยังตกรอบไปเรียบร้อยแล้วด้วย)
ต้องยอมรับว่า "สิงห์บลูส์" คือทีมที่ถูกจับตามองมากกว่าใครในซีซั่นนี้จากการเสริมทัพด้วยเม็ดเงินมหาศาล และหลังจากออกสตาร์ทไม่ดีเท่าไรนัก เกมกับ คริสตัล พาเลซ น่าจะเป็นจุดเปลี่ยนที่ทีมจะเรียกความมั่นใจกลับมา
เกมครึ่งแรกที่เอื่อยเฉื่อยจนแฟนบอลแทบอยาหกจะปิดทีวีทิ้งไป แต่การกลับมาในครึ่งหลังที่ดูมีชีวิตชีวาและเดินหน้ากระหน่ำใส่คู่แข่ง จนสุดท้ายคว้าชัยอย่างสวยงามด้วยสกอร์ 4-0
คนที่ได้รับคำชมอย่างล้นหลามหนีไม่พ้น เบน ชิลเวลล์ ที่สลัดอาการบาดเจ็บเป็นปลิดทิ้งและลงสนามเต็ม 90 นาทีพร้อมกับผลงาน 1 ประตู 1 แอสซิสต์ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ลงเล่นในเกมคาราบาว คัพ มาแล้ว 2 เกม แต่ลงเล่นเป็นสำรองหนึ่ง ส่วนอีกหนึ่งลงเล่นตัวจริงแล้วโดนเปลี่ยนออก
การลงเล่นเกมแรกในลีกในพรีเมียร์ลีกให้กับทีมพร้อมคว้าตำแหน่งแมน ออฟ เดอะ แม็ตช์ ถือเป็นตัวบอกได้เป็นอย่างดีว่าทำได้ดีแค่ไหน
เกมบุกของทีมมีมิติมากขึ้นในครึ่งหลังจากผลงานของ ชิลเวลล์ โดยเฉพาะลูกเปิดเข้าเขตโทษที่ได้ลุ้นมากขึ้น จากสิ่งที่เราเห็นเมื่อซีซั่นที่ผ่านมาจะเป็นการเจาะตรงกลางแทบตลอดทำให้คู่แข่งจับทางได้
ไม่แปลกเลยที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด พยายามที่จะดึงแบ็คของ เลสเตอร์ ซิตี้ มาร่วมทีมให้ได้โดยไม่วอกแวกไปหาคนอื่นแม้ว่าในตอนแรกดูจะได้มาร่วมทีมอย่างยากเย็นจนสื่อพยายามโยงหาคนอื่นเป็นตัวแทน
และเมื่อได้ เบน ชิลเวลล์ มามันก็ทำให้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กลับไปยืนทางขวาตามถนัดโดยไม่ต้องเสียดาย รีซ เจมส์ มากนัก ส่วนในตำแหน่งเซนเตอร์ ติอาโก้ ซิลวา แสดงให้เห็นว่าจังหวะผิดพลาดในเกมกับ เวสต์บรอมวิช มันเป็นอุบัติเหตุเท่านั้น ซึ่งยังช่วยให้ คูร์ท ซูม่า ดูดีมีชาติตระกูลขึ้นมาอีกด้วย
อีกจุดหนึ่งก็คือผู้รักษาประตูที่ เอดูอาร์ เมนดี้ ที่ลงเฝ้าเสามาสองเกมติดซึ่งแม้ว่าจะไม่มีเจองานยากอะไรมากมายนัก แต่มันก็ทำให้เพื่อนร่วมทีมรู้สึกอุ่นใจได้มากขึ้น รวมถึงโค้ชและแฟนบอล ต่างกับสมัยที่ เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ที่ไม่รู้วันดีคืนดีจะออกทะเลตอนไหน
แฟร้งค์ แลมพาร์ด น่าจะหาจุดลงตัวในเรื่องของการจัดระบบการเล่นจาก 4-3-3 มาเป็น 4-2-3-1 ที่ใช้มาตลอด 3 เกมหลังดูจะลงตัวกว่า
โดยเฉพาะในตำแหน่งกองหน้าที่ปรับให้ ติโม แวร์เนอร์ ไปเล่นทางริมเส้นฝั่งซ้าย ตรงกลางเป็น ไค ฮาแวร์ตซ์ ส่วนทางขวาเป็น คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่ดูจะเล่นด้วยความมั่นใจ พ่วงด้วยกองหน้าที่ให้ แทมมี่ อับราฮัม ลงสนาม ดูจะเข้ากันได้ดีมากกว่า
แม้ว่าจะมีดราม่าเล็กๆในช่วงท้ายเกมจากจังหวะที่ทีมได้จุดโทษซึ่งปกติมันคือหน้าที่ของ จอร์จินโญ่ แต่ทาง แทมมี่ พยายามที่จะขอยิงเองเพื่อเรียกความมั่นใจหลังสกอร์ขาดไปแล้ว แถมก่อนหน้านี้ทีมก็ได้จุดโทษและกองกลางทีมชาติอิตาลีก็รับหน้าที่ไปแล้ว
เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ในฐานะกัปตันทีมไม่ปล่อยให้นักเตะจัดการกันเองสอดมือเข้ามาทันทีและเอาบอลให้ จอร์จินโญ่ รับหน้าที่ไป เพื่อหลีกเลี่ยงความบาดหมางกันของเพื่อนร่วมทีม ซึ่งทาง แฟร้งค์ แลมพาร์ด ยืนยันว่าไม่มีปัญหาตามมา
เรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้มันก็ขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนอาจจะให้เพื่อนยิงก็ได้ หรือบางคนก็มองว่ามันคือหน้าที่ที่โค้ชมอบหมายตั้งแต่ก่อนเริ่มเกม คนนั้นก็ต้องรับหน้าที่ไป
ถึงตอนนี้ยังเหลือ ฮาคิม ซิเย็ค กับ คริสเตียน พูลิซิช คือสองแข้งที่สภาพร่างกายยังไม่พร้อม ซึ่งหากทุกคนหายเจ็บลงเล่นได้เต็มสูบ น่าสนใจว่าทีมจะออกมาหน้าตาแบบไหน
ถึงตอนนี้ทั้ง ติโม แวร์เนอร์ และ ไค ฮาแวร์ตซ์ สองคนที่เข้ามาเป็นตัวความหวังยังต้องรอประตูแรกกับทีมซึ่งยังไม่รู้ว่าจะรออีกนานแค่ไหน
เกือบ 2 สัปดาห์ต่อจากนี้นักเตะจะเดินทางไปรับใช้ชาติ ส่วนคนไหนไม่ติดก็อยู่ซ้อมกับสโมสรต่อไป ก่อนเกมนัดถัดไปที่จะพบกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ในวันที่ 17 ตุลาคม
หวังว่าจะไม่มีใครเจ็บมา หวังว่าตัวที่เจ็บทุกคนจะพร้อมหน้า หวังว่าจะชนะ และหวังว่าแข้งใหม่จะสามารถยิงประตูให้ทีมได้สำเร็จสักที
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT