หนึ่งแต้มตามเป้า
เห็นได้ชัดเลยว่าการซื้อ เอดูอาร์ เมนดี้ เข้ามานั้นกลายเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่จะพาให้ทีมไปได้ไกลมากกว่าเดิม หรืออย่างน้อยก็ไม่เสียประตูเหมือนอย่างเมื่อฤดูกาลที่ผ่านมา
รูปแบบการเล่นที่จากผังเป็น 3-4-2-1 ซึ่งแน่นอนว่ามันยืดหยุ่นได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะกับเกมรับที่สามารถถอยลงมาเล่นกองหลัง 5 คนได้ด้วยการขยับฟูล-แบ็คลงมา เพื่อปิดเกมรุกริมเส้นที่น่าจะเป็นจุดอันตรายของฝั่ง "ปีศาจแดง"
ด้วยความเร็วของทั้ง รีซ เจมส์ และ เบน ชิลเวลล์ คือส่วนสำคัญในการของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ในการสร้างทีม เพราะแบ็คซ้ายคือจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญที่นายใหญ่ชาวอังกฤษต้องการอย่างมาก ไม่งั้นคงไม่พยายามดึงตัวมาร่วมทีมให้ได้
แผนผังก็เปลี่ยนแปลงแค่การถอดแนวรุกออกไปหนึ่ง ส่งกองหลังลงมาเพิ่มหนึ่ง แสดงให้เห็นว่าทีมมาเน้นเกมเหนียวแน่นเอาไว้ก่อน โดยเอา เมสัน เมาท์ ที่เล่นมาตลอดออก แล้วเอา เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า มายืนสามประสานกับ ติอาโก้ ซิลวา และ คูร์ท ซูม่า
ตรงกลางคู่เดิม จอร์จินโญ่ กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ส่วนแนวรุก ไค ฮาแวร์ตซ์ กับ คริสเตียน พูลิซิช ขึ้นเกมริมเส้น กองหน้าตัวเป้าเป็น ติโม แวร์เนอร์
ส่วนทางฝั่งคู่แข่งการที่ อ็องโตนี่ย์ มาร์กซิยาล ติดโทษแบนถือเป็นข่าวดีของทัพ "สิงห์บลูส์" กับการเลือกจัดทีมของ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ที่ดัน มาร์คัส แรชฟอร์ด ขึ้นมายืนเป็นกองหน้า โดยตัวรุกทางริมเส้นเป็น แดเนี่ยล เจมส์ กับ ฆวน มาต้า ซึ่งรายแรกมีความเร็วแต่ขาดความแน่นอน ส่วนรายหลังไม่มีความเร็วแม้จะมีการผ่านบอลที่อันตราย
เชลซี มาเล่นได้ตามแผนแทบไม่เปิดโอกาสให้เข้าถิ่นเลยในช่วงครึ่งชั่วโมงแรก จะมีก็แค่จังหวะที่ เอดูอาร์ เมนดี้ ที่ผ่านบอลแบบไม่ดูว่ามีเพื่อนรึเปล่าบอลกลิ้งผ่านหน้าประตูออกหลังไปแบบมีเสียวเล็กๆ
กระทั่งท้ายครึ่งแรกนี่แหละที่มือกาวทีมชาติเซเนกัลได้โชว์เน้นๆสองดอกจากลูกยิงของ มาร์คัส แรชฟอร์ด และ ฆวน มาต้า แสดงให้เห็นว่าเขามีดีพอที่จะเฝ้าเสาให้ทีม
แต่ "สิงห์บลูส์" ก็ควรจะได้จุดโทษในจังหวะฟรีคิกที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ไปโดย แฮร์รี่ แม็กไกวร์ ล็อคคอเต็มๆ ซึ่งยังไงก็ต้องเป็นจุดโทษ แม้ผู้ตัดสิน มาร์ติน แอ็ตกินสัน จะไม่เห็น แต่ยังไงในห้องวีเออาร์ก็ควรจะส่งสัญญาณให้ดูภาพช้า
สุดท้ายก็ไม่ สร้างความไม่พอใจให้ฝั่งผู้มาเยือนอย่างมาก
จริงอยู่ที่ว่าการครองบอลนั้นทาง เชลซี ไม่ได้เป็นรอง แต่จังหวะเข้าทำนั้นแทบไม่ได้สร้างอันตรายให้เจ้าบ้านเลย
และการส่ง เอดินซอน คาวานี่ ลงมาเป็นกองหน้าแทน แดเนี่ยล เจมส์ พร้อมขยับ มาร์คัส แรชฟอร์ด ไปทำเกมริมเส้นทางซ้ายตามถนัด ยิงทำให้เกมรุกของ "ปีศาจแดง" วูบวาบมากขึ้นและมีจะหวะงที่น่าจะได้ประตู โดยเฉพาะจังหวะที่ คาวานี่ ได้ยิงจากจังหวะเปิดของ เมสัน กรีนวู้ด ติดบล็อค ติอาโก้ ซิลวา และจังหวะสับไกของ มาร์คัส แรชฟอร์ด ที่ เอดูอาร์ เมนดี้ พุ่งปัดออกหลังไปได้
ผลการแข่งขันจบลงด้วยการเสมอกันแบบไร้สกอร์ ต้องบอกว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด น่าจะพอใจ โดยเฉพาะในเกมรับที่รักษาคลีนชีตไว้ได้เป็นเกมที่สองติดต่อกัน
เกมนี้คงต้องปรบมือดังๆให้กับ เอดูอาร์ เมนดี้ ที่ทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์แบบ กลายเป็นผู้รักษาประตูคนแรกในรอบ 16 ปีของสโมสรที่ลงเฝ้าเสาเกมลีกสองเกมแรกพร้อมกับไม่เสียประตู นับตั้งแต่ที่ ปีเตอร์ เช็ก ทำเอาไว้เมื่อปี 2004 แถมยังเป็นมือกาวของทีมที่มาเก็บคลีนชีตที่โอลด์ แทรฟฟอร์ดในการมาเยือนครั้งแรกนับตั้งแต่ เควิน ฮิตช์ค็อค ทำได้เมื่อปี 1994 เลย
แต่เมื่อมีอะไรที่ดีให้พูดถึงก็ยังมีด้านตรงข้ามเช่นกันคือในส่วนของเกมรุกที่เกมนี้ถือเป็นบททดสอบในการเจอกับทีมใหญ่และก็ทำประตูไม่ได้
น่าเสียดายที่คนที่มีความขยันและมีจังหวะและมีพื้นที่ลุยขึ้นมาบ่อยครั้งอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ขาดความแน่นอนในการจ่ายบอลไป ไม่อย่างนั้นทีมคงได้ลุ้นกว่านี้
ก็อย่างว่ามิดฟิลด์ทีมชาติฝรั่งเศสมีจุดแข็งที่การตัดเกมและเล่นเกมรับ ถ้าจะให้เก่งด้านเกมรุกอีกคงดูจะเกินไปหน่อย
ทว่าอย่างน้อยมันก็น่าจะเป็นจุดที่ทำให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มองเห็นได้ว่าทีมมีโอกาสในการทะลุทะลวงคู่แข่งได้จากแดนกลาง ในยามที่กองหน้าไม่สามารถเล่นงานคู่แข่งได้
หนึ่งคะแนนในเกมนี้ต้องบอกว่าฝั่งสีน้ำเงินควรจะพึงพอใจ เพราะมันทำให้รู้ว่าเกมรับที่เคยมีปัญหาตอนนี้เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ และอาจจะดียิ่งขึ้นกว่านี้ โดยเฉพาะในเขตโทษที่แทบไม่เปิดโอกาสให้ฝั่ง แมนฯ ยูไนเต็ด ในสับไกได้เลย
ที่ว่าความสำเร็จของเกมลูกหนังพื้นฐานอยู่ที่เกมรับก็ถือว่าทีมเดินมาในทิศทางที่ถูกต้อง
เมื่อเกมรุกเข้าที่เมื่อไรเราคงจะได้เห็น เชลซี ที่พร้อมทุกขุมกำลังในการต่อกรลุ้นแชมป์ในทุกรายการที่ลงสนาม
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT