6 แข้งใหม่พร้อมหน้ากับชัยชนะที่สวยหรู
จะบอกว่าสามแต้มจากเวทียุโรปเป็นการเรียกความมั่นใจให้ทีมได้เป็นอย่างดีก็ว่าได้
แม้ว่าก่อนเกมจะมีปัญหาติดขัดเล็กน้อยตรงที่ คริสเตียน พูลิซิช มีอาการบาดเจ็บในช่วงวอร์มร่างกายจน แฟร้งค์ แลมพาร์ด ไม่อยากที่จะเสี่ยงใช้งาน ทำให้ ติโม แวร์เนอร์ ที่ตอนแรกจะเป็นตัวสำรองได้ลงสนาม
และจากเหตุการณ์นี้เองทำให้แข้งใหม่ทั้ง 6 คนได้ลงสนามพร้อมกันเป็นครั้งแรกทั้ง เอดูอาร์ เมนดี้, เบน ชิลเวลล์, ติอาโก้ ซิลวา, ฮาคิม ซิเย็ค, ไค ฮาแวร์ตซ์ และ ติโม แวร์เนอร์ อยู่ในสนามพร้อมหน้าพร้อมตา
ในเกมกับ เบิร์นลี่ย์ แบบนี้ ทีมที่ไม่ได้แกร่งมากมายอะไรนัก ก็ถือเป็นนิมิตรหมายอันดีที่แข้งหน้าใหม่จะได้ประสานงานกัน
เพราะอันที่จริงแล้วทั้ง 6 คนนี้ล้วนมีดีพอที่จะออกสตาร์ทตัวจริงด้วยกันทั้งนั้น เพียงแต่ที่ผ่านมามีบางคนเจ็บทำให้ยังไม่ได้ลงเล่นพร้อมกัน
นอกจากนี้ยังถือเป็นเครื่องหมายคำถามว่าการที่ทีมคว้านักเตะใหม่เข้ามาทีเดียวครึ่งทีม แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะเล่นยังไงหากว่าทุกคนจะต้องลงเล่นพร้อมกัน
และเกมที่เทิร์ฟ มัวร์นี่แหละก็ถือเป็นโอกาสดีทีเดียว แถมเป็นเหมือนโอกาสที่ฟ้าประทานเพราะหาก คริสเตียน พูลิซิช ไม่เจ็บคงไม่ได้มีโอกาสแบบนี้
อย่างที่รู้ว่าระบบการเล่นของทีมสามารถยืดหยุ่นได้ไม่ว่าจะเป็น 4-2-3-1 หรือ 4-3-3 เพราะแนวรุกของทีมสามารถเล่นได้หลากหลาย ซึ่งตัวแปรอยู่ที่ ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่นอกจากยืนสูงเป็นปีกแล้วยังสามารถขยับมาเป็นสามประสานในแดนกลางร่วมกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ เมสัน เมาท์ ได้ด้วย
ด้วยความทีมิดฟิล์ทีมชาติฝรั่งเศสเป็นคนเดียวที่เป็นตัวรับธรรมชาติ ก็อาศัยความฟิตของอีกสองคนนี่แหละเป็นตัวช่วย
ขณะที่ ติโม แวร์เนอร์ ซึ่งที่ผ่านมายืนเป็นกองหน้าตัวเป้าขยับไปยืนริมเส้นด้านซ้ายเพื่อให้ แทมมี่ อับราฮัม ยืนกองหน้าตัวเป้า ส่วนฝั่งขวาเป็น ฮาคิม ซิเย็ค
ด้วยสภาพทีมในตอนนี้ต้องบอกว่า แฟร้งค์ แลมพาร์ด มีทีมที่สมบูรณ์เต็มที่แล้ว สามารถเลือกใช้ทรัพยากรที่มีได้อย่างเต็มที่
รูปเกมที่ออกมาก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนกับเปอร์เซ็นต์ครองบอลที่เหนือกว่าคู่แข่งเกือบเท่าตัว รวมถึงโอกาสยิงที่มากกว่า 3 เท่า เปลี่ยนเป็น 3 ประตูกับ 3 คะแนน
อีกครั้งที่เราได้เห็นความยอดเยี่ยมของ ฮาคิม ซิเย็ค และนี่อาจจะเป็นการเซ็นสัญญาที่ดีที่สุดของทีมในฤดูกาลนี้ สมกับการรอคอยให้หายมาจากอาการบาดเจ็บจริงๆ และประตูในเกมนี้ก็ทำให้เจ้าตัวเป็นแข้งคนแกรที่ทำสองประตูในสองเกมแรกกับทีมทุกรายการนับตั้งแต่ที่ ดีเอโก้ คอสต้า ทำได้ตั้งแต่เมื่อปี 2014
แถมยังมีแอสซิสต์มากฝากอีกด้วย
เช่นเดียวกับกองกลางที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่เกมนี้ได้เล่นแบบถนัดในฐานะมิดฟิลด์ตัวรับเต็มๆ ไม่ต้องไปไล่บอลหรือขึ้นไปเติมในเกมรุกยามที่มี จอร์จินโญ่ อยู่ในทีม นี่คือตำแหน่งที่เจ้าตัวถนัดและสร้างชื่อขึ้นมาตั้งแต่แรก
แน่นอนว่าการได้เห็น ก็องเต้ เล่นในตำแหน่งนี้อีกครั้งน่าจะเป็นสิ่งที่แฟนบอลอยากเห็นมาตลอด เพราะช่วงหลังไม่มีโอกาสเท่าไรนัก และทาง ก็องเต้ เองก็ดูจะฟอร์มตกลงไปในช่วงหลัง
แต่ก็อย่างที่รู้มันต้องแลกมากับการต้องถอด จอร์จินโญ่ ออกไป ก็อยู่ที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะจัดแผนการเล่นยังไง เพราะ ก็องเต้ ถนัดรับไม่ใช่คนบัญชาเกม ส่วนยามที่ จอร์จินโญ่ ลงสนาม เข้าคือคนกำหนดจังหวะของเกม
ในเกมที่คู่แข่งไม่ได้แข็งแกร่งมากแบบนี้นี่แหละก็เป็นโอกาสดีที่ให้ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ได้ทดสอบอะไรบ้าง
ส่วนในเกมรับชุดนี้น่าจะเป็นชุดที่ดีที่สุดของทีมไปแล้ว โดย 4 คนคงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงทั้ง เอดูอาร์ เมนดี้, เบน ชิลเวลล์, คูร์ท ซูม่า และ ติอาโก้ ซิลวา ส่วนอีกคนน่าจะสลับกันบ่อยกว่าตำแหน่งอื่นระหว่าง เซซาร์ อัซปิลิวยต้า และ รีซ เจมส์
แต่อาจจะเป็นฝ่ายหลังที่มีภาษีดีกว่าหน่อย ในเมื่อ ซิลวา อายุมากแล้ว การมี เจมส์ ที่อายุน้อยและมีความฟิตน่าจะเป็นคนที่คอยช่วยได้ดีกว่ากัปตันทีมชาวสเปน
จุดที่น่าสนใจก็คือ เอดูอาร์ เมนดี้ ที่เก็บคลีนชีตมาอย่างต่อเนื่อง แม้เกมนี้จะไม่ต้องออกแรงอะไร แต่การมีเขายืนเฝ้าเสาช่วยสร้างความมั่นใจให้กับแนวรับ กลายเป็นช่วยกันยกระดับขึ้นมากันหมด
ในขณะที่หลายทีมมีปัญหาบาดเจ็บหรือติดโทษแบน แต่ เชลซี กลับมีทรัพยากรให้เลือกอย่างเต็มที่โดยเฉพาะในแนวรุกที่สามารถสลับสับเปลี่ยนแบ่งกันเล่นเป็น 2 ทีมได้เลย
แน่นอนว่ามันเป็นเรื่องน่าปวดหัวที่ใครก็อยากเจอ มีตัวเลือกให้ใช้ดีกว่าไม่มี กับสถานการณ์ที่อาจจะมีแข้งเจ็บหรือโควิดที่กลับมาระบาดอีกครั้ง หวยอาจจะไปออกที่ใครก็ได้ นี่ถือเป็นจุดแข็งอีกอย่างของ เชลซี
จากที่เสริมทัพที่ดูว่ามากเกินความจำเป็น ตอนนี้มันเริ่มแสดงให้เห็นแล้วว่าคือการตัดสินใจที่ถูกต้อง
นี่แหละที่เค้าเรียกว่ามองการณ์ไกล
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT