แรงดีไม่มีตก
ชัยชนะสวยๆสองเกมที่ผ่านมาทำ 7 ประตูและไม่โดนเจาะตาข่ายเลยเพิ่มความมั่นใจให้กับทีมอย่างดีเยี่ยมก่อนลงเผชิญหน้ากับ แรนส์
แม้ว่าก่อนเกมจะเจอข่าวร้ายที่ ไค ฮาแวร์ตซ์ ดันถูกตรวจพบเชื้อโควิดต้องกักตัวทันที แต่อย่างที่บอกด้วยขุมกำลังทั้งเก่า-ใหม่ต้องบอกว่าทีมมีตัวทดแทนได้อย่างไร้ปัญหา อยู่ที่จะเลือกปรับการเล่นในระแบบไหนเท่านั้น
เมื่อไม่มีแข้งทีทมชาติเยอรมัน แฟร้งค์ แลมพาร์ด เลือกที่จะใช้ จอร์จินโญ่ ลงมายืนตรงกลางร่วมกับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ เมสัน เมาท์ โดยที่ทั้งคู่สามารถเติมขึ้นไปช่วยรุกได้และยังถอยลงมาช่วยคุมเกมได้เช่นกันด้วยความฟิตและความเร็วที่มีอยู่แล้ว
ส่วนแนวรุก ติโม แวร์เนอร์ อยู่ทางซ้าย ฮาคิม ซิเย็ค อยู่ทางขวาและกองหน้าตัวเป้าเป็น แทมมี่ อบราฮัม ขณะที่แนวรับชุดเดิมทั้ง เอดูอาร์ เมนดี้, รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า และ เบน ชิลเวลล์
อันที่จริงตั้งแต่เริ่มเกมจนกระทั่งมีประตูแรกต้องบอกว่า แรนส์ ไม่ได้เป็นแรงแถมจะดูวูบวาบกว่าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะจังหวะที่ นาเยฟ อาเกิร์ด โหม่งไปโดนมือของ คูร์ท ซูม่า น่าจะเสียจุดโทษก่อนด้วย ยังดีที่ผู้ตัดสินคงจะมองว่าเป็นจังหวะ "บอล ทู แฮนด์" และลูกนั้นก็ไม่ได้มีแววจะพุ่งเข้าประตูเลยไม่เป่า
แต่สามนาทีหลังจังหวะนั้นนั่นแหละที่ ติโม แวร์เนอร์ ไปโดน ดัลแบร์ต เกี่ยวร่วงจังหวะล็อคหลบ และเป็น แวร์เนอร์ ที่ลุกขึ้นมาสังหารเองไม่พลาด
อาจจะเป็นภาพแปลกตาสำหรับคนยิงเป้าเพราะในยามที่มี จอร์จินโญ่ อยู่ในสนามช่วง 2-3 ปี ที่ผ่าน เข้าคือคนที่รับหน้าที่ประจำ แต่เกมนี้กลับเป็นกองหน้าทีมชาติเยอรมันที่ทำหน้าที่สังหาร หลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็จัดการมาแล้วในเกมกับ คราสโนดาร์
แต่ในเกมนั้นเป็นเพราะ จอร์จินโญ่ โดนเปลี่ยนตัวออกไปแล้ว ทำให้ต้องหาคนรับผิดชอบแทน แต่ในเกมนี้มิดฟิลด์ทีมชาติอิตาลียังอยู่
เท่านั้นไม่พอจังหวะจุดโทษหนที่สองของทีมก็ยังเป็น ติโม แวร์เนอร์ ที่ทำหน้าที่ต่อและก็ยิงไม่พลาดให้ทีมนำห่างสองประตูก่อนจบครึ่งแรก
กระทั่งช่วงต้นครึ่งหลังที่ แทมมี่ อบราฮัม ชาร์จลูกเปิดของ รีซ เจมส์ ที่เสาแรกให้ทีมทิ้งไกลสามประตูและเกมก็จบตั้งแต่ตรงนั้นเลย
และเมื่อสกอร์ขาดก็ไม่ให้แข้งหลักได้พัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเกมยุโรปที่สามารถเปลี่ยนนักเตะได้ 5 คนก็เรียงหน้าเปลี่ยนทั้ง เอ็นโกโล่ ก็องเต้, แทมมี่ อบราฮัม, เบน ชิลเวลล์, ติอาโก้ ซิลวา และ ฮาคิม ซิเย็ค ออกมาทั้งหมด
ส่วนเรื่องคนยิงจุดโทษนั้น แฟร้งค์ แลมพาร์ด มีคำอธิบายว่าถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนคนสังหารหลังจากที่ จอร์จินโญ่ พลาดมาแล้วสองหนในซีซั่นนี้
แน่นอนว่านายใหญ่สิงห์บลูส์ยังเผยว่าได้เปิดใจคุยเรื่องนี้กับ จอร์จินโญ่ เรียบร้อยแล้ว และนักเตะก็มีความเป็นมืออาชีพมากพอที่จะรับมือได้ พร้อมยืนยันขอให้เป็นประตูใครจะยิงก็ได้ทั้งนั้น
นั่นก็เท่ากับเป็นการประกาศออกมาแล้วว่านับตั้งแต่นี้ คนที่เป็นมือเพชรฆาตเบอร์หนึ่งของทีมคือชื่อของ ติโม แวร์เนอร์ นั่นเอง
นอกจากชัยชนะในเกมนี้ ทีมยังมีสถิติดีๆเกิดขึ้นเพียบ ทั้งเก็บคลีนชีต 5 เกมติดต่อกันทุกรายการครั้งแรกในรอบ 10 ปี, ไม่เสียประตูในแชมเปี้ยนส์ ลีก 3 นัดซ้อนครั้งแรกนับตั้งแต่ฤดูกาล 2009/10 รวมถึง แทมมี่ อบราฮัม ที่เป็นนักเตะคนแรกที่ยิงได้ 3 เกมติดในแชมเปี้ยนส์ ลีกนับตั้งแต่ปี 2015 (วิลเลี่ยน) แถมยังเป็นนักเตะอังกฤษคนแรกที่ทีมได้นับตั้งแต่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด เจ้านายคนปัจจุบันที่ทำไว้เมื่อปี 2008
แถมชัยชนะในเกมนี้ยังเป็นชัยชนะในบ้านที่มากที่สุดในเวทีแชมเปี้ยนส์ ลีกของสโมสรจากอังกฤษที่มีกุนซือชาวอังกฤษนั่งเก้าอี้กุนซือ นับตั้งแต่ที่ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ พา สเปอร์ส ชนะ เบรเมน 3-0 เมื่อปี 2010
อะไรก็หอมไปหมดเลยว่างั้นเถอะ
อาจจะมีเรื่องที่น่ากังวลอยู่บ้างเล็กน้อยตรงที่ดูแล้ว แฟร้งค์ แลมพาร์ด น่าจะมีแข้งตัวหลักที่ต้องการส่งให้ลงสนามต่อเนื่อง เกมรุกอาจจะไม่ค่อยน่าห่วงมากเท่าไรนักเพราะตัวเลือกมีพอสมควรและศักยภาพก็ไว้ใจได้ แต่แนวรับที่น่าห่วง
โดยเฉพาะในตำแหน่งเซนเตอร์ที่ตอนนี้ดูท่าต้องพึ่งพา ติอาโก้ ซิลวา เป็นกำลังสำคัญ หลังจากที่ยืนคุมเกมเต็ม 90 นาทีมาสองนัดติด ยังดีที่เกมนัดนี้ปิดเกมไวเลยได้ถอดออกมาพักได้
ตอนนี้ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด และหวังว่านักเตะจะพร้อมลงสนามไปจนจบฤดูกาล
แนวรุกพอเจ็บได้อยู่ แต่กองหลังคงต้องขอเลย
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT