แชมป์กลุ่ม!!!
ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมของทีมในเกมนี้ต้องยกเครดิตให้ทั้ง แฟร้งค์ แลมพาร์ด และพลพรรคสิงโตน้ำเงินทุกๆคน เพราะว่ากันตรงๆแล้วการจัดทีมในเกมนี้ทีมปรับผู้เล่นเยอะทีเดียว
ไล่ตั้งแต่แนวรับที่สามารถใช้คำว่าเปลี่ยนยกแผงทั้ง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, อันเดรียส คริสเตนเซ่น, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ และ เอแมร์ซอน จากที่ปกติเป็น รีซ เจมส์, ติอาโก้ ซิลวา, คูร์ท ซูม่า และ เบน ชิลเวลล์ มีแค่ผู้รักษาประตูที่เป็น เอดูอาร์ เมนดี้ เหมือนเดิม
แดนกลาง ไค ฮาแวร์ตซ์ ฟื้นตัวจากโควิดเต็มที่กลับมาลงสนามร่วมกับ จอร์จินโญ่ และ มาเตโอ โควาซิช ให้ เมสัน เมาท์ กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ เป็นแค่ตัวสำรอง ส่วนแนวรุกเป็น คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย, โอลิวิเยร์ ชิรูด์ และ คริสเตียน พูลิซิช จากที่เป็น ฮาคิม ซิเย็ค, แทมมี่ อบราฮัม และ ทิโม แวร์เนอนร์
โดยเฉพาะ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งด้วยการเหมาคนเดียว 4 ลูก แสดงให้เห็นว่าไม่ได้มีดีแค่เป็นตัวสำรองของใคร
ในเกมนี้มีหลายจุดให้พูดถึงในแง่ของผลงานอันยอดเยี่ยมนี้ และนี่คือประเด็นหลักที่น่าสนใจ
โอลิวิเยร์ ชิรูด์ - ไวน์ชั้นเลิศแห่งสแตมฟอร์ด บริดจ์
"ไวน์" ยิ่งบ่มยิ่งแพงยิ่งอร่อย นาทีนี้เปรียบได้กับ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่เพิ่งตะบันคนเดียว 4 ประตูในเกมนี้
ยิงด้วยซ้าย - ยิงด้วยขวา - โหม่ง และสังหารจุดโทษ ถือเป็นการทำแฮตทริคที่สมบูรณ์แบบจริงๆ ไม่ใช่ใครจะทำกันได้ง่ายๆ
ไม่มีใครคาดหวังว่าเขาจะพุ่งกระฉูดขนาดนี้ในช่วงปลายอาชีพ ถึงกับมีข่าวว่าคงต้องย้ายออกจากทีมหลังเป็นมือปืนอันดับ 3 ของ "สิงห์บลูส์" เพื่อจะได้พร้อมเต็มที่ในการติดทีมชาติฝรั่งเศสในศึกยูโรกลางปีหน้า
ดาวยิงตราไก่ไม่นักเตะที่มีความเร็ว ไม่ใช่ผู้เล่นที่ฉลาดที่สุด แต่สิ่งที่เขามีคือความเข้าใจในเกมและความนิ่ง การเคลื่อไหวของเขาและการจบสกอร์คือความยอดเยี่ยมที่มีในตัวของ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ทั้งสิ้น
แน่นอนว่ารวมถึงการเล่นจังหวะเดียวก็ถือเป็นอีกหนึ่งข้อสำคัญที่ทำให้เขาอยู่ในตำแหน่งที่ดี ถือว่าแตกต่างกับ แทมมี่ อบราฮัม และ ทิโม แวร์เนอร์ ที่ใช้ความเร็วเป็นหลัก
นี่คือสิ่งสำคัญที่ทางสโมสรจะต้องหาทางโน้มน้าวให้เขาอยู่กับทีมจนจบฤดูกาลให้ได้หากต้องการประสบความสำเร็จในฤดูกาลนี้
เกมฝั่งละครึ่ง
ไม่ใช่แค่ เชลซี เท่านั้นที่ทำการเปลี่ยนทีมเกือบยกแผง ทางฝั่ง เซบีย่า เองก็พักกำลังหลักไว้ข้างสนามแล้วให้แข้งสำรองลงเล่นไม่น้อย
เหตุผลก็น่าจะมาจากการที่ทีมมีโปรแกรมหนักกับ เรอัล มาดริด ในศึกลา ลีกา สเปน รออยู่ และทีมก็ผ่านเข้าสู่รอบน็อคเอาท์ไปแล้ว ทำให้ทีมไม่จำเป็นต้องเน้นหนักอะไรมาก
สกอร์ 4-0 ที่ออกมา หากดูเฉพาะที่ผลการแข่งขันนั้นคงเป็นการปูพรมถล่มข้างเดียว แต่เกมที่ออกมาไม่ได้เป็นอย่างนั้นไปทั้งหมด
สิ่งที่คิดไม่ถึงก็คือการที่ เชลซี ได้ประตูเร็วตั้งแต่ต้นเกม อาจจะทำให้แผนงานที่เตรียมมาเสียไปบ้าง แต่ เซบีย่า ก็ยังมีศักยภาพในการครองเกมเล่นงานคู่แข่ง เพียงแต่จังหวะเข้าทำด้อยประสิทธิภาพไปเท่านั้น
แต่ครึ่งหลังกลับเป็น เชลซี ที่ทำได้ดีกว่าชัดเจน และยิงมาประตูเพิ่มทำให้เจ้าบ้านเริ่มถอดใจและไม่อยากแลกหรือบู๊หนักจนเกิดอาการบาดเจ็บ ทำให้ผลที่ออกมาก็อย่างที่เห็นกัน
ทีเด็ดทีขาดในจังหวะเข้าทำ
การไม่มี ลูกัส โอกัมโปส, โอลีเบร์ ตอร์เรส และ มูนีร์ เอล ฮัดดาดี้ อยู่ในทีม 11 คนแรก ทำให้การเข้าทำของ เซบีย่า ดูจะขาดๆเกินๆไปซะหมด
ยิ่งการที่ เชลซี ขนแนวรับที่เป็นตัวสำรองยกแผง นั่นทำให้พวกเขาเพิ่มความระมัดระวังมากกว่าเดิม มิดฟิลด์ส่วนใหญ่เล่นอยู่ในเขตแนวหน้าแผงหลังซึ่งยากต่อการเจาะเข้าไป
โอกาสส่วนใหญ่ของ เซบีย่า จึงเป็นลูกตั้งเตะซะเยอะ ทำให้ทาง เอดูอาร์ เมนดี้ แทบไม่ได้ทำงานหนักอะไรมากมาย
ในขณะที่ เชลซี อาศัยจังหวะเข้าทำที่เฉียบขาด สามประตูแรกของเกมต้องบอกว่ายอดเยี่ยม โดยเฉพาะ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ที่ต้องปรบมือให้จริงๆ
สถิติที่ออกมาเป็นตัวบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่า เซบีย่า คงจะต้องกลับไปดูเกมนี้เพื่อหาข้อบกพร่องของตัวเองก่อนที่จะปะทะกับ "ราชันชุดขาว"
การกลับมาของ ไค ฮาแวร์ตซ์
หลังจากหายหน้าไปตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคม ปล่อยให้ ฮาคิม ซิเย็ค ขึ้นมาเฉิดฉายจนคนไม่ได้นึกถึงชื่อของ ไค ฮาแวร์ตซ์ มากนัก
อาจจะไม่ได้ถึงกับลืมไป แต่ด้วยผลงานที่ดีต่อเนื่องของทีม ทำให้แฟนบอลอาจจะไม่ได้มุ่งประเด็นลงไปมากนักว่าใครจะเป็นผู้ลงสนาม
สตาร์ทีมชาติเยอรมันกลับมาและยังคงรักษามาตรฐานเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยมไม่เปลี่ยนแปลง ทั้งในเรื่องของเกมรับและเกมรุก
ไค ฮาแวร์ตซ์ เข้าสกัดมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของทีม (3 ครั้ง) เป็นรองแค่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เท่านั้น แถมยังมีแอสซิสต์ 1 หน ผ่านบอลเข้าเป้าถึง 94% และเลี้ยงบอลหลบคู่แข่งอีก 2 ครั้งมากที่สุดในทีมเกมนี้ด้วย
สถิตินั้นน่าจะเป็นที่พอใจของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด อย่างมากกับการกลับมามีตัวเลือกในทีมเพิ่มขึ้นเหมือนช่วงที่ผ่านมา
ความแข็งแกร่งในแนวรับ
หนึ่งในเรื่องที่น่ากังวลใจที่สุดของ เชลซี ตลอดฤดูกาลที่ผ่านมา ตอนนี้ดูท่าเรื่องนี้จะโดนกำจัดออกไปจากใจจนหมดสิ้น
การปรับเกมรับยกแผงแสดงให้เห็นว่าทีมมีตัวเลือกที่พร้อมจะทำหน้าที่แทนเหล่าบรรดาตัวจริงในยามที่ได้รับบาดเจ็บหรือติดโทษแบน ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้จัดการทีมทุกคนต้องการมากที่สุด
เมื่อ ติอาโก้ ซิลวา ในวัยปลายอาชีพไม่อาจจะยืนหยัดได้ในทุกเกมที่ต้องเล่นติดๆกัน ตอนนี้ เชลซี ได้ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่จากจะเป็นส่วนเกินกลับมาเล่นได้อย่างแข็งแกร่ง ไม่จำเป็นต้องไปหาใครมาเพิ่มอีก
เท่ากับกองหลังของทีมตอนนี้ไม่ต้องกลัวว่าใครจะลงเล่น ทุกคนมีความมั่นใจอย่างเต็มที่ในการลงสนาม บวกกับ เอดูอาร์ เมนดี้ ที่เข้ามาเพิ่มความเหนียวแน่นให้แกร่งขึ้นไปอีก บวกกับการที่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ที่กลับมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับเต็มตัวอีกคน
ในแต่ละเกมที่ผ่านไปทำให้ได้เห็นแล้วว่าตอนนี้ เชลซี ไม่ใช่ทีมที่ใครจะเจาะเกมรับของพวกเขาง่ายๆอีกแล้ว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT