ขาดความเด็ดขาด
เพราะแต้มเดียวที่ได้นั้นทำให้ทีมเสียโอกาสที่จะทิ้งห่างคู่แข่งแย่งท็อปโฟร์ของตาราง เพราะพื้นที่ที่ตัวเองอยู่ก็ถือว่าหมิ่นเหม่ต่อการหล่นออกมาจากโซนนั้นเหมือนกัน
ทีมที่ตามมาทั้ง เวสต์แฮม, เอฟเวอร์ตัน, สเปอร์ส และ ลิเวอร์พูล ล้วนมีศักยภาพที่จะไล่ตามพร้อมกับแซงหน้าได้ทั้งสิ้น
แต่จุดที่น่าสนใจของ "สิงห์บลูส์" ในเกมนี้คือการที่ โธมัส ทูเคิ่ล ปรับเปลี่ยนทีมมาเล่นในระบบกองหลัง 4 คนเป็นครั้งแรก หลังจากที่ตั้งแต่มาคุมทีมนั้นเล่นด้วยระบบ 3 เซนเตอร์แล้วมีวิง-แบ็กมาตลอด
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเสียดายบรรดาแข้งแนวรุกที่มีอยู่ล้นทีม หรือคิดว่าจะลองแผนการเล่นเพื่อทำไปปรับใช้ในอนาคต
เอดูอาร์ เมนดี้ ยังคงรับหน้าที่เฝ้าเสาต่อ กองหลังขยับเอา เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ไปเป็นแบ็คขวา เซนเตอร์เป็น อันเดรียส คริสเตนเซ่น กับ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ส่วนทางซ้ายเปลี่ยนจากเกมล่าสุดมาใช้ เบน ชิลเวลล์
มิดฟิล์คู่กลางให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ลงมาคุมเกมกับ จอร์จินโญ่ ส่วนแนวรุก เมสัน เมาท์ ยืนพื้น อีกสองคนเป็น ฮาคิม ซิเย็ค กับ คริสเตียน พูลิซิช ส่วนกองหน้าดัน ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่ทำได้ดีในเกมที่ทีมชนะ เอฟเวอร์ตัน ขึ้นไปเป็นหน้าเป้า
นั่นแหละครับที่บอกว่าน่าแปลก เท่ากับทีมไม่มีกองหน้าอาชีพ แม้ว่า ฮาแวร์ตซ์ จะสามารถรับหน้าที่ได้ และได้รับคำชมจากผู้เป็นนายอย่างมากก็ตาม
ผลน่าจะมาจากการที่เกมล่าสุด ทิโม แวร์เนอร์ ที่โดน โธทัส ทูเคิ่ล ตำหนิเรื่องการยืนตำแหน่งซึ่งการถ่ายทอดสดในตอนนี้ที่ไม่มีแฟนบอลยามที่ข้างสนามตะโกนอะไรล้วนออกไมค์ได้ยินกันถึงทางบ้าน
เล่าให้ฟังสักหน่อยก็คือเหตุการณ์ที่ แวร์เนอร์ ไปเล่นทางซ้าย แต่โค้ชตะโกนบอกว่าไปยืนทำไมตรงนั้นนานแล้ว บอกให้เปลี่ยนให้มาเล่นทางขวา ถึงแม้ ทูเคิ่ล จะบอกว่ามันก็แค่ส่วนหนึ่งของเกมและไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น แต่ดูแล้วมันก็น่าจะส่งผลบ้างแหละ
เพราะจากช่วงแรกที่ได้ลงเล่นมาตลอดแต่อะไรก็ยังไม่ดีขึ้น ช่วงหลังดูเหมือนว่ากองหน้าทีมชาติเยอรมันจะเริ่มโดนจับให้นั่งสำรองบ่อยขึ้นแม้จะถูกส่งลงเล่นตลอดก็ตามที
แต่มันก็แสดงให้เห็นถึงสัญญาณที่บ่งบอกว่า แวร์เนอร์ ต้องเริ่มเค้นฟอร์มเหมือนสมัยค้าแข้งกับ ไลป์ซิก กลับมาให้ได้โดยเร็ว
ด้วยรูปเกมที่ออกมานั้นไม่มีอะไรที่น่าเซอร์ไพรส์อะไร บอลยังอยู่ในการครอบครองของฝั่ง เชลซี เกือบตลอด แต่ปัญหาคือจังหวะเข้าทำที่ดูแทบจะไม่ได้สร้างความอันตรายหรือจังหวะหวาดเสียวอะไรมากมายเลยในครึ่งแรก
ที่ได้ลุ้นคงเป็นจังหวะที่ ลุค เอลิ่ง เตะสกัดไปโดน ดีเอโก้ ยอเรนเต้ แล้วบอลลอยไปชนคานเด้งมาเข้ามือ อิลลัน เมส์ลิเย่ร์ นี่แหละ แถมจังหวะลุ้นของ ลีดส์ ยูไนเต็ด น่าขึ้นนำจังหวะที่ ไทเลอร์ โรเบิร์ตส์ ตักด้วยขวาหน้าเขตโทษบอลลอยไปชนคานเหมือนกันนั่นแหละ
นอกนั้นในครึ่งแรกไม่ได้มีอะไรหวาดเสียวมากมาย เพราะการครองบอลของ เชลซี มักจบลงด้วยการโดนนักเตะของเจ้าถิ่นไล่เตะแถมติดดาบอยู่ตลอดจนลงไปกองตามๆกัน
โดยเฉพาะในแนวรุกที่ดูแทบไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเท่าไรนัก เดือดร้อนถึง อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่ต้องดันเกมสูงขึ้นมาอยู่ตลอด เรียกได้ว่าเติมเกมรุกมันว่าเพื่อนร่วมทีมคนไหนๆเลย
ส่วนในครึ่งหลังโอกาสได้ประตูของ เชลซี จังหวะที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ดันเกมขึ้นมาก่อนไหลบอลให้ ไค ฮาแวร์ตซ์ แตะจนอยู่โล่งๆแต่แต่งตัวช้าสุดยิงยิงไปติดอีก ในขณะที่ทาง "ยูงทอง" ก็ได้ลุ้นจากจังหวะของ ราฟินญ่า ที่ เออูดาร์ เมนดี้ เซฟได้เยี่ยม
ในภาพรวมครึ่งหลังต้องบอกว่า ลีดส์ บุกได้น้ำได้เนื้อกว่า ทาง เชลซี ดูจะพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของนักเตะมากจนเกินไป ส่วนตัวสำรองที่ส่งลงมาก็ไม่ได้ทำให้เกมดีขึ้น ยกเว้น รีซ เจมส์ ที่เข้ามาช่วยปิดเกมทางขวาของคู่แข่งหลังจากที่ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ดูเริ่มจะหมดแรงหลังโดนเจาะอยู่ตลอด
เกมรับยังคงช่วยกันได้เป็นอย่างดีทำให้ทีมเก็บคลีนชีตได้อีกครั้ง เท่ากับ 10 เกมที่ โธมัส ทูเคิ่ล คุมทีมในพรีเมียร์ลีกเสียไปแค่ 2 ประตูเท่านั้น ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นการทำเข้าประตูตัวเองของ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ด้วย
เหลือก็แค่เกมรุกที่ยังดูไม่เข้าที่เข้าทางนัก แม้ว่าในเกมนี้การใช้ ไค ฮาแวร์ตซ์ จะดูวูบวาบมากขึ้น แต่ประสิทธิภาพกลับไม่เป็นอย่างมที่คาดหวัง
ไม่รู้ว่าปัญหาคือเรื่องของการโรเตชั่นคือเปล่า อาจจะทำให้การเล่นของนักเตะแต่ละคนขาดความต่อเนื่อง ซึ่งในแนวรุกมีแค่ เมสัน เมาท์ เท่านั้นที่ได้เล่นตลอด ส่วนอีก 2-3 คนที่เหลือล้วนสลับสับเปลี่ยนอยู่ตลอด
ฮาคิม ซิเย็ค, คริสเตียน พูลิซิช, ทิโม แวร์เนอร์, แทมมี่ อบราฮัม, โอลิวิเยร์ ชิรูด์ รวมถึง คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย หากเล่นในระบบอย่างในเกมนี้จะมีอีก 3 คนที่ถูกส่งลงเล่น แต่หากปรับเป็นระบบ 3-4-2-1 ก็จะมีแค่ 2 คนเท่านั้นที่ได้ลงเล่น ไม่นับ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ที่ถูกถอยไปยืนวิง-แบ็กขวา
ไม่รู้ว่า โธมัส ทูเคิ่ล คิดถึงเรื่องนี้อย่างจริงจังมาก-น้อยแค่ไหนกับการหาทีม 11 คนแรกที่เป็นแกน จริงอยู่ที่การมีตัวสำรองที่ทดแทนกันได้เป็นเรื่องดี แต่ความต่อเนื่องก็ถือเป็นเรื่องสำคัญเช่นเดียวกัน
เพราะผลเสมอ 0-0 ในเกมนี้ทำให้ 12 เกมที่คุม เชลซี มาทีมเสมอด้วยสกอร์นี้ไปแล้วถึง 3 เกม มากกว่าที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ทำไว้แค่ 2 เกมตลอดการคุมทีม 57 นัดซะอีก
เกมรับนั้นโอเคแล้วกับการเสีย 2 ลูกจาก 10 นัดแรก น้อยที่สุดในประวัติศาสตร์สโมสรกับกุนซือที่คุมทีม 10 เกมแรก เท่ากับที่ โชเซ่ มูรินโญ่ ทำไว้ในช่วงแรกที่คุมทีมเมื่อปี 2004/05 เลย
ตอนนี้เกมรับดูไม่น่าห่วงแล้ว เหลือแค่เกมรุกนี่แหละที่ยังต้องแก้ไข และทาง โธมัส ทูเคิ่ล เองก็บอกว่าทีมต้องเด็ดขาดมากกว่านี้ในการทำประตู
ไม่รู้ว่าแฟนบอลจะคิดยังไง แต่หวังว่าทีมจะมี 11 คนแรกที่เป็นแกนหลักได้ ในเฉพาะเกมรุกก่อนจบฤดูกาลนี้ได้สักที
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT