เกมที่ดีที่สุดของ โธมัส ทูเคิ่ล

ถือเป็นการเติมความมั่นใจให้สูงปรี๊ดยิ่งขึ้นอีกก่อนจะเจอกับ ปอร์โต้ ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้ายยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เลกที่สอง หลังจากที่เกมแรกเอาชนะมาได้ก่อน 2-0

ทีมออกสตาร์ทด้วยความดุดัน เดินหน้าบุกตั้งแต่นาทีแรกของเกม ไม่เหมือนกับที่เราเห็นที่ผ่านมาที่ทีมมักจะเสียเวลาไปกับการครองบอลมากจนเกินไป จนบางครั้งถึงขั้นสร้างความรำคาญให้กับแฟนบอลตัวเองด้วยซ้ำ

ภายในเวลาครึ่งชั่วโมงทีมทะลวงตาข่าย 3 ประตู โดยเฉพาะสองลูกแรกที่ห่างกันเพียงแค่ 2 นาที แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการของทีมที่เดินหน้าลุยใส่ต่อทันทีแม้เพิ่งได้ประตูขึ้นนำ ไม่ปล่อยให้คู่แข่งพักหายใจ

จริงอยู่ที่ว่า คริสตัล พาเลซ ไม่ใช่ทีมที่แข็งอะไรมากมาย แต่ยังไงก็ต้องยกเครดิตให้ฝั่งสีน้ำเงินด้วย เพราะนี่คือเกม "ลอนดอน ดาร์บี้" ที่ไม่เคยมีเกมที่ง่ายอยู่แล้ว

เกมนี้นักเตะในทีมทุกคนล้วนควรได้รับคำชื่นชม แม้ว่าในรายของผู้รักษาประตูอย่าง เอดูอาร์ เมนดี้ จะไม่ได้ทำอะไรมากนัก แต่เมื่อทีมได้เครดิตจากชัยชนะนักเตะทุกคนควรมีส่วนร่วม แม้ว่าจะมีเหตุการณ์น่าหงุดหงิดนิดๆจากการเสียประตูให้กับเจ้าถิ่น

โดยเฉพาะ ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่ต้องเผชิญกับเสียงวิจารณ์ในทางลบอย่างหนักนับตั้งแต่ย้ายมาร่วมทีมด้วยค่าตัวมหาศาลในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย

แต่ดูเหมือนว่าในตำแหน่งกองหน้าตัวเป้าแบบ "ฟอลส์ ไนน์" ดูจะเหมาะอย่างมาก และเจ้าตัวเองก็ดูจะแฮปปี้แถมทำได้ดีขึ้นเรื่อยๆนับตั้งแต่ได้รับมอบหมายจากเจ้านายให้รับหน้าที่นี้ และ 1 ประตู 1 แอสซิสต์ในเกมนี้ก็เป็นตัวบ่งบอกชั้นดี

ในเกมกับ พาเลซ เจ้าตัวน่าจะยิงได้มากกว่านี้ด้วยซ้ำ เพียงแต่เมื่อสกอร์ห่างแล้ว นักเตะคนอื่นดูจะอยากยิงประตูด้วยเหมือนกัน รวมถึงผ่อนคลายความเข้มข้นของเกมลงไป ให้เจ้าบ้านได้ครองบอลบ้าง

การวิ่งของ ไค ฮาแวร์ตซ์ ถือว่าเป็นประโยชน์กับทีมอย่างมาก ไม่ว่าจะหาช่องให้ตัวเองหรือทำทางให้เพื่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ทีมพยายามอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา แต่คนอื่นที่รับบทบาทก่อนหน้านี้ดูจะไม่ตอบโจทย์

นั่นทำให้ชื่อของ ทิโม แวร์เนอร์ กลายเป็นแค่ตัวสำรองในเกมนี้ รวมถึงช่วงหลังที่ถูกถอยลงมาเป็นกองกลางตัวรุกร่วมกับ เมสัน เมาท์ แต่เกมนี้ โธมัส ทูเคิ่ล เลือกให้ คริสเตียน พูลิซิช ลงเล่นแทน และตัวนักเตะก็ไม่ทำให้ผิดหวัง

แน่นอนว่าสื่อเองก็ไม่พลาดที่จะถามถึงเรื่องนี้ ซึ่งทาง โธมัส ทูเคิ่ล อธิบายเรื่องการใช้งานกองหน้าทีมชาติเยอรมันมาอย่างต่อเนื่องและควรจะพักบ้าง ในขณะที่ คริสเตียน พูลิซิช เองก็ดูจะเล่นด้วยความมั่นใจและอยู่ในฟอร์มที่ดีด้วย

ดังนั้นการให้นักเตะคนอื่นได้ลงเล่นบ้างมันก็เหมือนกับการให้มีการแข่งขันเพื่อแย่งตำแหน่ง ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับนักเตะที่จะต้องเค้นผลงานที่ดีที่สุดออกมา และโค้ชรวมถึงทีมก็จะได้ประโยชน์จากเรื่องนั้นด้วย

ผลจากการแข่งขันในเกมนี้ก็ทำให้ทีมมีสถิติที่น่าสนใจหลายอย่างทีเดียวทั้งในเรื่องของสถิติ ผลงานของกุนซือหรือนักเตะ

โธมัส ทูเคิ่ล ยังไม่แพ้ใครตลอด 6 เกมที่คุมทีมลงเล่นนอกบ้านในพรีเมียร์ลีก (ชนะ 4 เสมอ 2) โดยคนที่ไม่แพ้ใคร 6 เกมแรกที่คุมทีมคนล่าสุดก็คือ หลุยส์ เฟลิเป้ สโคลารี่ ที่ทำไว้ 10 เกมแรก

สองประตูในช่วง 10 นาทีแรกของ เชลซี ในเกมพรีเมียร์ลีกนี้ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมทำได้นับตั้งแต่เกมเจอ ไบรท์ตัน เมื่อปี 2018 

ไค ฮาแวร์ตซ์ ทั้งยิงและแอสซิสต์ให้กับ เชลซี ในเกมเดียวเป็นครั้งแรก ในขณะที่ คริสเตียน พูลิซิช ที่ทำสองลูกในเกมนี้กลายเป็นแข้งสหรัฐฯ อันดับ 3 ที่ยิงมากที่สุดในพรีเมียร์ลีกรองจาก คลิ้นต์ เดมซี่ย์ (57 ประตู) และ ไบรอัน แม็คไบรด์ (36 ประตู)

ทั้ง 4 แอสซิสต์ที่ เมสัน เมาท์ ทำได้ในซีซั่นนี้มาจากลูกโหม่งทั้งหมด โดยสามประตูมาจากหัวของ คูร์ท ซูม่า ในขณะที่ ซูม่า ที่บวกหนึ่งลูกในเกมนี้ เท่ากับว่าเขาทำไปแล้ว 5 ลูกในฤดูกาลนี้ มากกว่ากองหลังทุกคน 

ในตอนนี้ดูเหมือนว่า เชลซี จะเริ่มมีความลงตัวมากขึ้น นักเตะแต่ละตำแหน่งแทบจะมองเห็นได้ว่าหน้าตาจะออกมาเป็นยังไง แถมตัวสำรองก็ยังทดแทนกันได้ โดยเฉพาะในกองหน้าตัวเป้าตอนนี้ที่ได้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ขึ้นมาเป็นอีกคนเป็นตัวความหวัง

อะไรก็ดูดีไปหมด ทุกอย่างไปได้สวยก่อนชนกับ ปอร์โต้ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก

จากชัยชนะเกมแรกทำให้ตอนนี้ เชลซี ถูกดันเป็นเต็ง 2 ที่จะได้แชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปไปครอง แม้ว่าหากผ่านรอบนี้ไปได้ คู่แข่งที่รออยู่จะเป็น เรอัล มาดริด หรือ ลิเวอร์พูล

ความมั่นใจกำลังมาเต็มแบบนี้หวังว่าจะไม่มีอะไรมาหยุดพวกเขาได้ทั้งในเส้นทางในยุโรปและท็อปโฟร์ของพรีเมียร์ลีก