โค้งสุดท้าย

ชัยชนะเหนือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่เวมบลีย์เมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมาน่าจะเป็นตัวเพิ่มความมั่นใจให้กับทีมได้อย่างดีเยี่ยม

ในเกมที่ในภาพรวมแล้วเป็นรองแต่สามารถคว้าชัยชนะมาได้ ถือเป็นการวางหมากที่ยอดเยี่ยมของนายใหญ่ชาวเยอรมัน และทีมก็เล่นงานแนวรับของ "เรือใบ" ได้อย่างเหมาะเจาะ

ถือว่าเป็นการทำให้แฟนๆได้หน้าบานอีกครั้งหลังจากที่ก่อนหน้านี้ก็เพิ่งเข้ารอบตัดเชือกในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกมา

การจัดตัวของเทรนเนอร์ชาวเยอรมันมีเซอร์ไพรส์อยู่เล็กน้อยตรงที่ตำแหน่งกองหน้า ทิโม แวร์เนอร์ ที่เป็นแค่สำรองในสองเกมที่ผ่านมาทั้งบอลลีกและบอลยุโรปกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งแทนที่ของ ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่หลุดไป 

ส่วนอีกตำแหน่งที่น่าแปลกใจเหมือนกันก็คือ คริสเตียน พูลิซิช ที่ดูทำได้ดียามลงทำหน้าที่ช่วงที่ผ่านมากลับเป็น ฮาคิม ซิเย็ค ที่ได้ลงปั้นเกมกับ เมสัน เมาท์ แทน

ขณะที่แดนกลางและแนวรับเป็นชุดเดิมจากเกมล่าสุดทั้ง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า, ติอาโก้ ซิลวา, อันโตนิโอ รือดิเกอร์, รีซ เจมส์, เอ็นโกโล่ ก็องเต้, จอร์จินโญ่ และ เบน ชิลเวลล์ ส่วนผู้รักษาประตูเกมนี้เป็น เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ที่ยืนหนึ่งในรายการนี้มาตั้งแต่แรกเริ่มและยังคงได้รับความไว้วางใจทำหน้าที่ต่อแม้จะเจอกับทีมใหญ่ก็ตาม

แต่ที่น่าสนใจอยู่ที่ฝั่งของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ที่จัดทีมได้น่าเซอร์ไพรส์มากกว่าโดยทั้ง อิลคาย กุนโดกัน, ริยาด มาห์เรซ และ ฟิล โฟเด้น ที่ทำผลงานได้ดีมาต่อเนื่องกลับเป็นแค่ตัวสำรองเท่านั้น

แม้ว่านั่นจะไม่ได้ทำให้ประสิทธิภาพในเกมรุกที่มีทั้ง เควิน เดอ บรอยน์, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ กาเบรียล เชซุส ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้ว แต่ผลงานในช่วงหลังต้องยอมรับว่าบรรดาแข้งที่โดนถอดให้นั่งอยู่ข้างสนามนั้นทำได้อย่างดีเยี่ยม

มุมหนึ่ง เป็ป กวาร์ดิโอล่า นายใหญ่ทัพเรืออาจจะมองว่านักเตะน่าจะกรอบหลังจากที่ต้องลงเล่นมาต่อเนื่อง (ทั้งที่ปรับทัพตลอดก็เถอะ) โดยเฉพาะเมื่อกลางสัปดาห์ต้องไปเล่นที่เยอรมันและเจอศึกหนักกับ ดอร์ทมุนด์ แถมพอกลับมายังต้องเดินทางจากแมนเชสเตอร์มาลอนดอนอีก

ถึงกระนั้นทางฝั่ง เชลซี เองก็ต้องไปเล่นเกมแชมเปี้ยนส์ ลีกที่สเปนซึ่งต้องเดินทางเหมือนกัน แต่การอยู่ในลอนดอนอยู่แล้วอาจจะเป็นความได้เปรียบนิดๆ

ทว่าการจัดทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล ไม่คิดมากเกินไปใช้แข้งที่ดีที่สุดลงเล่นก่อน วางแผนให้ดีแล้วที่เหลือค่อยมาแก้กันในเกม

จุดที่น่าชื่นชมมากที่สุดในเกมนัดนี้ของ เชลซี หนีไม่พ้นเกมรับที่ทำหน้าที่กันได้อย่างยอดเยี่ยม ไม่ปล่อยให้แนวรุกของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ได้เข้าไปสอยตาข่ายง่ายๆ

โดยเฉพาะเกมทางริมเส้นที่จัดการพวกความเร็วสูงของทัพเรือใบได้แทบจะอยู่หมัดเลย แถมยังมีจังหวะเติมเกมสวยๆหลายครั้งด้วย

และเมื่อ "ซิตี้" บุกทางริมเส้นทีมก็จัดการด้วยการบุกทางริมเส้นเหมือนกันและน่าได้ประตูขึ้นนำตั้งแต่ต้นเกมจังหวะที่ ทิโม แวร์เนอร์ หลุดไปทางซ้ายก่อนเปิดให้ ฮาคิม ซิเย็ค ยิงตุงตาข่าย แต่น่าเสียดายที่เป็นจังหวะล้ำหน้าไปซะก่อน

แต่นั่นก็แสดงให้เห็นเหมือนเป็นสัญญาณเตือนแล้วว่าในจังหวะสวนกลับของทีมสิงโตแห่งกรุงลอนดอนพร้อมเล่นงานอยู่ตลอดเวลา

ซึ่งอย่างที่เห็นกันไปว่าประตูชัยของทีมก็มาจากการเล่นงานทางริมเส้นของ ทิโม แวร์เนอร์ ที่หลุดมาทางซ้ายก่อนเปิดเข้ากลางให้ ฮาคิม ซิเย็ค ที่แม้จะย้อนหลังไปนิดแต่ก็ยังอยู่ในวิถีที่สามารถทำประตูได้และก็ส่งบอลสู่ก้นตาข่ายไปในที่สุด

ถึงตอนนี้ถือว่าทีมเดินทางมาในเส้นทางที่ดีกับการมีแชมป์แรกภายใต้การคุมทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล โดยมี เลสเตอร์ ซิตี้ เป็นด่านสุดท้ายขวางทางอยู่

แต่ในระหว่างเส้นทางนั้นก็ยังมีอีกรายการอย่างยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกที่จะเจอกับ เรอัล มาดริด ในรอบตัดเชือก ซึ่งถ้ามองจากจุดนี้ต้องบอกว่า "สิงห์บลูส์" ไม่ได้เป็นรองเลย 

ทุกเกมต่อจากนี้ล้วนเป็นนัดสำคัญเพราะในลีกก็ยังต้องเน้นเพื่อการันตีท็อปโฟร์ของตารางไว้ให้ได้ อย่างน้อยมันก็คือตั๋วลุยถ้วยใหญ่ของยุโรปซีซั่นหน้าที่แน่นอนกว่าจะไปหวังคว้าแชมป์ยุโรป แม้ว่าจะหวังอยู่เหมือนกันก็เถอะ

ถือเป็นโค้งสุดท้ายที่แฟนสิงห์ได้กระชุ่มกระชวยและเชียร์กันอย่างออกรสเพราะอย่างที่บอกว่าทุกนัดทีมจะต้องใส่เต็มที่เพื่อคว้าชัยชนะมาครองให้ได้ทั้งหมด

มันคงเป็นอะไรที่สวยงามมากเลยหากคว้าท็อปโฟร์ ต่อด้วยแชมป์เอฟเอ คัพและปิดฉากด้วยโทรฟี่ยุโรปของฤดูกาล 2020/21