ยังไม่จบ
ไม่ขอพูดถึงเรื่องการล้างตาจากความพ่ายแพ้ในเกมชิงถ้วยเอฟเอ คัพเพราะต้องบอกเลยว่ามันแทนกันไม่ได้ แต่มันก็ช่วยเรียกความมั่นใจให้กับทีมได้ไม่มากก็น้อย
อย่างน้อยต่อหน้าแฟนบอล 10,000 คน ก็ได้ส่งเสียงเฮเมื่อทีมได้รับชัยชนะหลังเอฟเอให้กลับเข้ามาชมเกมได้เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เดือนธันวาคม
ไม่รู้ว่าความพ่ายแพ้ในเกมชิงชนะเลิกเอฟเอ คัพจะยิ่งเพิ่มความกระตือรือร้นให้ทีมสำหรับเกมนี้รึเปล่า แต่ยังไงทีมก็ต้องการชัยชนะนั่นแหละเพื่อการันตี "ท็อปโฟร์" ของตาราง
และสุดท้ายทีมก็ได้ผลการแข่งขันตามที่ต้องการจริงๆ
การจัดทีม
โธมัส ทูเคิ่ล เปลี่ยนทีม 3 ตำแหน่งจากเกมเอฟเอ คัพ แน่นอนว่าตำแหน่งที่เปลี่ยนคือผู้รักษาประตูทาง เอดูอาร์ เมนดี้ กลับมาทวงตำแหน่งแทน เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ส่วนอีกสองคนคือ เบน ชิลเวลล์ ลงเล่นในตำแหน่งวิง-แบ็กซ้ายแทน มาร์กอส อลอนโซ่ และตัวรุก คริสเตียน พูลิซิช ลงเล่นแทน ฮาคิม ซิเย็ค
ส่วนเรื่องแท็คติกไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ซึ่ง รีซ เจมส์ ยังคงได้ยืนอยู่ในระบบสามกองหลัง โดย เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า อยู่ทางขวาเหมือนเดิม ส่วนตัวสำรองมี มาเตโอ โควาซิช กับ แทมมี่ อับราฮัม สอดเข้ามาอยู่ในพื้นที่ตัวสำรอง
ยินดีต้อนรับกลับบ้าน
ท่ามกลางแฟนบอล 10,000 คนที่ถือว่าเยอะที่สุดในรอบกว่า 15 เดือนที่ผ่านมา ทาง "สิงห์บลูส์" ออกสตาร์ทด้วยความมุ่งมั่นอย่างเต็มเปี่ยม
โอกาสลุ้นครั้งแรกตั้งแต่ยังไใม่ถึง 4 นาทีเต็มทาง ติโม แวร์เนอร์ ไหลบอลให้ เบน ชิลเวลล์ ที่เติมเข้าเขตโทษด้านซ้ายก่อนกดเน้นๆบอลผ่านหน้าประตูหลุดเสาสองออกไป จากนั้นทีมก็ยังเดินหน้าลุยแหลกในช่วง 1-2 นาทีต่อจากนั้น เมสัน เมาท์ เปิดบอลจาทางซ้ายลึกไปเสาสอง เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า วิ่งเข้าหาบอลช้าไปนิดเดียว หรือจังหวะลองยิงไกลนอกกรอบของ รีซ เจมส์ ที่พุ่งหลุดกรอบออกไป
ในนาทีที่ 9 เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ได้จังหวะกระชากบอลเข้าเขตโทษด้านขวาก่อนสับไก แคสเปอร์ ชไมเคิ่ล พุ่งปัดเอาไว้ได้ เท่ากับช่วง 10 นาทีแรกทีมมีโอกาสพังประตูหลายหนเลย
ความพยายามของทีมมาได้เฮจังหวะที่ เมสัน เมาท์ ไหลบอลให้ ติโม แวร์เนอร์ ยิงเสียบเสาเข้าไป แต่ลูกนี้แฟนๆเฮเก้อรวมถึง โธมัส ทูเคิ่ล ด้วยเนื่องจากเป็นลูกล้ำหน้าไปซะก่อน
หลังจากนั้น เชลซี ก็มาส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้อีกจากลูกเตะมุมทางซ้าย เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า โหม่งที่เสาแรกบอลเลยมาเสาสอง ติโม แวร์เนอร์ โหม่งเข้าประตู แต่เมื่อเช็กวีเออาร์บอลไปโดนแขนกองหน้าชาวเยอรมันทำให้ชวดได้ประตูไปอีกครั้ง
ครึ่งแรก เชลซี มีโอกาสส่องประตูรวมทั้งหมดถึง 14 หน ในขณะที่ เลสเตอร์ ซิตี้ มีแค่ครั้งเดียวและไม่เข้ากรอบ แต่สกอร์ยังไม่ขยับ
เจาะตาข่ายจนได้
ออกสตาร์ทครึ่งหลังไม่เท่าไร เชลซี ก็มาพังประตูขึ้นนำจากลูกเตะมุมที่ เบน ชิลเวลล์ เปิดมาเสาแรก เจมี่ วาร์ดี้ พยายามโหม่งสกัดแต่โดนแค่บางๆกลายเป็นบอลมาตกใส่ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่อยู่หน้าปากประตูเข้าไปเป็น 1-0 ท่ามกลางความสะใจของเจ้าถิ่น
เกมยังเป็นฝั่งเจ้าบ้านที่ดูจะได้น้ำได้เนื้อมากกว่าและก็มาได้จุดโทษจังหวะที่ ติโม แวร์เนอร์ ได้บอลในเขตโทษด้านซ้าย เวสเล่ย์ โฟฟาน่า ไปสะกิดจากด้านหลังทั้งที่ไม่มีความจำเป็นและหลังจากเช็กวีเออาร์ผู้ตัดสิน ไมค์ ดีน ก็เป่าเป็นจุดโทษก่อนที่ จอร์จินโญ่ จะยิงนิ่มๆเข้าไป
จะว่าไปจังหวะนี้แทบไม่มีอะไรอันตรายเลย โฟฟาน่า เองก็ไม่จำเป็นต้องไปโดนอะไร แวร์เนอร์ ด้วยซ้ำ เพราะไม่ต้องพูดถึงเรื่องโอกาสทำประตูเลย
ดูเหมือนว่าจะเป็นการปิดเกมได้ไม่ยากเพราะโอกาสของผู้มาเยือนแทบไม่มีเลยกระทั่งช่วง 15 นาทีสุดท้าย วิลเฟร็ด เอ็นดิดี้ แย่งบอลได้ก่อนไหลให้ เคเลชี่ อิเฮียนาโช่ ที่ยืนอยู่คนเดียวที่ยืนคนเดียวตวัดยิงด้วยซ้ายเข้าไปชนิดที่บรรดาเกมรับสิงห์ยังไม่ทันตั้งตัว
ปิดเกม
ช่วงท้ายเกม เชลซี เล่นด้วยความกดดันทีเดียวเพื่อที่จะรักษาสกอร์เอาไว้ให้ได้ และก็เกือบจะโดนตีเสมอด้วยจังหวะที่ ริคาร์โด้ เปเรยร่า เปิดบอลจากทางขวาเข้ากลางบอลเลยมาถึง อาโยเซ่ เปเรซ ได้วิ่งมายิงเน้นๆยังดีบอลข้ามคาน
ด้วยความที่ทีมลงไปเล่นเกมรับลึกทำให้ "สุนัขจิ้งจอก" ได้เติมเกมบุกกดันและได้ลุ้น แต่สุดท้ายทีมก็ยันเอาไว้ได้ แม้จะมีเหตุการณ์วุ่นวายที่นักเตะทั้งสองทีมปะทะกันอย่างหนักจนเหล่าสตาฟฟ์โค้ชต้องเข้ามาห้ามกันจ้าละหวั่น
เหตุการณ์เกิดขึ้นจากการที่ ริคาร์โด้ เปเรยร่า ไปยันใส่ เบน ชิลเวลล์ สร้างความไม่พอใจให้บรรดาแข้งสิงห์กรูกันเข้ามาเอาเรื่อง แต่จังหวะ "ซิทคอม" มันเกิดจากการที่ ดาเนียล อมาร์ตีย์ ที่โยนธงของ เชลซี ทิ้งหลังทีมชนะในเกมเอฟเอ คัพ ดันเข้ามาผสมโรง แม้จะใส่หน้ากากแต่ ติอาโก้ ซิลวา ดันตาดีจำได้ เป้าหมายเลยพุ่งมาที่ อมาตีย์ แทนและชุลมุนกันต่ออีกก่อนที่จะแยกกันไป
ต้องบอกว่านี่เป็นอีกเกมที่สนุกและแข้ง เชลซี ก็ทำหน้าที่ได้อย่างดีเยี่ยม เก็บสามคะแนนสำคัญเพิ่มโอกาสในการคว้าท็อปโฟร์ของตารางมาครอง
เกมปิดท้าย
เชลซี มีคิวจะบุกเยือนวิลล่า พาร์คของ แอสตัน วิลล่า ในเกมสุดทายของฤดูกาล ซึ่งการคว้าชัยชนะจะทำให้มทีมการันตีอันดับ 3 ของตาราง
หรือหากไม่ชนะ ลิเวอร์พูล หรือ เลสเตอร์ ซิตี้ จะต้องไม่ชนะด้วยเพื่อให้ทีมอยู่ในพื้นที่ "ท็อปโฟร์" ต่อไป ซึ่งทั้งสองทีมจะได้เล่นในบ้านเหมือนกัน โดย ลิเวอร์พูล ปเจอกับ คริสตัล พาเลซ และ เลสเตอร์ เจอกับ สเปอร์ส
มองแล้วทีมของ เจอร์เก้น คล็อปป์ ไม่น่าพลาด ส่วนฝั่ง "สุนัขจิ้งจอก" ทาง สเปอร์ส ช่วงหลังก็ผีเข้าผีออก คิดจะแพ้ก็แพ้ได้ คิดจะชนะก็ชนะได้เหมือนกัน
เอาเป็นว่าอย่าเพิ่งไปมองถึงเกมชิงถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เอาสิ่งที่อยู่ตรงหน้าก่อนละกัน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT