:::     :::

บทพิสูจน์เกมรับอันแข็งแกร่ง

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม 2564 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
5,752
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
การเดินทางมาเยือน ลิเวอร์พูล ถึงแอนฟิลด์ไม่เคยเป็นงานง่ายอยู่แล้ว ยิ่งผู้เล่นน้อยกว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง

         แต่ โธมัส ทูเคิ่ล ก็แสดงให้เห็นถึงการวางแผนเกมรับที่ยอดเยี่ยมสามารถยันเกมรุกของฝั่ง "หงส์แดง" อยู่แม้ว่าต้องเล่นด้วยการมีนักเตะแค่ 10 คนตลอดครึ่งเวลาหลัง

         แถมยังเสียคนสำคัญในแดนกลางอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ไปในเวลาเดียวกันอีกด้วย

         นี่แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติอันยอดเยี่ยมในการควักผลการแข่งขันจากคู่แข่งที่แย่งแชมป์กัน การมาเยือนแล้วไม่แพ้ก็เหมือนกับได้ชัยชนะกลับบ้าน

         ปรบมือให้กับนายใหญ่ชาวเยอรมันและผู้เล่นทุกคนในเกมนี้ที่ยืนหยัดอย่างยอดเยี่ยม

การจัดทีม


         เชลซี เปลี่ยนทีมจุดเดียวจากเกมกับ อาร์เซน่อล โดยทาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ หายจากอาการบาดเจ็บออกสตาร์ทเป็นตัวจริงเคียงข้าง จอร์จินโญ่ แทน มาเตโอ โควาซิช 

         ในแนวรุก โรเมลู ลูกากู นำทีมโดยมี ไค ฮาแวร์ตซ์ กับ เมสัน เมาท์ ปั้นเกมด้านหลัง - วิงแบ็กเป็น มาร์กอส อลอนโซ่ และ รีซ เจมส์ โดยสามประสานในตำแหน่งเซนเตอร์เป็น เซซาร์ อัซปิลิกวยต้าม อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ผู้รักษาประตู เอดูอาร์ เมนดี้ เฝ้าเสา

         สำหรับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ลงเล่นเกมที่ 300 ในพรีเมียร์ลีกให้กับ เชลซี แถมยังเป็นวันเกิดอายุครบ 32 ปีอีกด้วย 

         ส่วน เจอร์เก้น คล็อปป์ เปลี่ยนทีม 3 ตำแหน่งจากเกมล่าสุดเอา แอนดี้ โรเบิร์ตสัน, ฟาบินโญ่ และ โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ออกสตาร์ทตัวจริง

ออกสตาร์ทอย่างเร่าร้อน


         ทั้งสองทีมเปิดฉากอย่างดุดันตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดทันที ด้วยสไตล์การเล่นที่บีบเกมสูงในแดนคู่แข่งด้วยกันทั้งคู่ยิ่งทำให้เกมเปิดหน้าใส่กันแทบไม่พักหายใจ

         ลิเวอร์พูล ได้ทักทายก่อนตั้งแต่ 5 นาทีแรกจากลูกยิงนอกกรอบของ ฮาร์วี่ย์ เอลเลียตต์ แต่บอลพุ่งหลุดเสาออกไป ต่อด้วยนาทีที่ 10 เทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ วางบอลเข้าเขตโทษ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน สอดมาแปแบบไม่จับแต่โดนไม่ดีบอลหลุดกรอบออกไป

         "หงส์แดง" บุกแบบได้เสียวมากกว่าโดยเฉพาะการลุยขึ้นมาทางริมเส้นทั้งสองฝั่ง แถมยังมีจังหวะเจาะตรงกลางด้วย แต่ทาง เชลซี ก็ตั้งรับอย่างแข็งแกร่ง

         โอกาสจะแจ้งครั้งแรกของ เชลซี ก็มาได้ประตูขึ้นนำจากลูกเตะมุมทางซ้าย รีซ เจมส์ เปิดมาเสาแรก ไค ฮาแวร์ตซ์ ได้โหม่งบอลย้อยข้ามมือ อาลีสซีง ที่พยายามบินแต่ไม่ถึงบอลเสียบใต้คานเข้าไปเป็น 1-0

เกมเปิด

         การได้ประตูขึ้นนำของผู้มาเยือนทำให้ทาง ลิเวอร์พูล ยิ่งโหมเกมแรุกมากกว่าเดิม และมันก็เปิดพื้นที่ให้ เชลซี ได้จังหวะจบสกอร์มาขึ้นตามเช่นกัน

         โอกาสของเจ้าถิ่นยังข้ามไปข้ามมา ไม่ได้ลุ้นจะแจ้งอะไร ในขณะที่ เชลซี ในจบสองหนซ้อนนาทีที่ 35 จังหวะสวนที่ เมสัน เมาท์ จ่ายเข้ากลางคืนให้ ลูกากู ตวัดยิงด้วยซ้ายตรงจุดโทษแต่ติดบล็อค เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ บอลไปเข้ามือ อาลีสซง

         อีกครั้งจากประประสานงานของคู่เดิมแต่คราวนี้เป็น โรเมลู ลูกากู ไหลบอลให้ เมสัน เมาท์ หลุดไปในเขตโทษด้านซ้ายแล้วกึ่งยิงกึ่งผ่านบอลผ่านหน้าประตูออกหลังไปนิดเดียว

         ทั้งครึ่งแรกทั้งสองทีมมีปัญหาอาการบาดเจ็บของนักเตะด้วยกันทั้งคู่ โดยฝั่ง ลิเวอร์พูล เป็น โรแบร์โต้ ฟีร์มิโน่ ที่โดนเปลี่ยนออกเอา ดีโอโก้ โชต้า ลงมาเล่นแทน ส่วนฝั่ง เชลซี เป็น เอ็นโกโล่ ก็องเต้ แต่ยังฝืนเล่นอยู่

ใบแดง - จุดโทษ - ประตู

         เกมครึ่งแรกที่ทำท่าว่าจะจบลงด้วยประตูนำของผู้มาเยือนก็มีดราม่าเกิดขึ้นจนได้จากจังหวะเตะมุมที่บอลชุลมุนไม่ไปไหน สุดท้ายเป็น ซาดิโอ มาเน่ ที่พุ่งแหย่ขาหมายส่งบอลเข้าประตูบอลไปติด รีซ เจมส์ ที่คุมเส้น แต่บอลโดนหัวเข่าไปโดนมืออย่างโชคร้าย

         ผู้ตัดสิน แอนโธนี่ย์ เทย์เลอร์ เป่าทันทีก่อนที่จะไปดูวีเออาร์แล้วชี้เป็นจุดโทษก่อนที่จะชูใบแดงไล่แบ็กทีมชาติอังกฤษออกจากสนามไป

         จังหวะต้องบอกว่าโชคร้ายเพราะจากภาพช้ามันชัดเจนว่าบอลไปโดนเข่าก่อน ไม่ได้ตั้งใจโดนมือแต่อย่างใด แต่เมื่อผู้ตัดสินเป่าและไล่ออกไปแล้วก็เป็นไปตามนั้น

         ผู้สังหารเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์ ที่ซัดไปไม่พลาดให้ทีมตีเสมอ 1-1 ก่อนจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้พร้อมความได้เปรียบเรื่องผู้เล่นด้วย

แก้เกมครึ่งหลัง

         การเหลือผู้เล่น 10 คน และอาการบาดเจ็บของ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ทำให้ โธมัส ทูเคิ่ล เปลี่ยนตัวผู้เล่นในช่วงพักครึ่งทีเดียว 2 คน โดยเอา ติอารโก้ ซิลวา ลงเล่นแทน ไค ฮาแวร์ตซ์ และ มาเตโอ โควาซิช ลงแทน ก็องเต้

         แต่ด้วยระบบการเล่นทีมยังยึดแผงหลังแบบ 5 คนเหมือนเดิม โดยขยับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ไปอยู่ทางขวาแทน รีซ เจมส์ แล้วใส่ ซิลวา มายืนตรงกลาง โดยให้ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ขยับเป็นอยู่ทางขวาในตำแหน่งสามกองหลัง

         การมี โรเมลู ลูกากู ปักหลักข้างหน้าทำให้ เชลซี เริ่มต้นด้วยการใช้การเล่นแบบบอลยาว แต่นั่นไม่ได้ทำให้ทีมเก็บบอลได้เลยและเสียบอลเกือบตลอด

ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่ง

         การเล่นด้วยนักเตะเพียง 10 คนแถมเจอกับทีมอย่าง ลิเวอร์พูล ถือเป็นงานหนักจริงๆ แม้ว่าจะเล่นด้วยแนวรับเท่าเดิม แต่เกมรุกที่หายไปประสิทธิภาพย่อมลดลงและเสียบอลง่ายมากขึ้น

         ผ่านไป 7 นาที เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ ได้เดิมเกมขึ้นมาก่อนลองยิงไกล เอดูอาร์ เมนดี้ ต้องออกแรงล้มตัวปัดบอลออกหลังไปได้

         เกมแทบจะอยู่ในการครอบครองของฝั่งเจ้าบ้าน แต่โอกาสทะลุเข้าไปยิงในเขตโทษแทบไม่มีให้เห็น มีแค่จังหวะยิงนอกกรอบของ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน ที่หลุดออกไป และจาก ฟาบินโญ่ ที่ไม่ผ่านมือ เอดูอาร์ เมนดี้

         การตั้งแนวรับของ เชลซี สกัดกั้นการขึ้นเกมทางริมเส้นของ ลิเวอร์พูล ได้อย่างดีเยี่ยม แม้จะมีความอ่อนล้าออกมาให้เห็นแต่ทุกคนก็ยืนหยัดอย่างแข็งแกร่งและยันสกอร์เอาไว้ได้ในที่สุด

เกมถัดไป

         สองสัปดาห์จากนี้เกมฟุตบอลลีกจะได้พักหลีกทางให้กับโปรแกรมทีมชาติ โดยหลังกลับมาทีมจะกลับไปเล่นในบ้านรับการมาเยือนของ แอสตัน วิลล่า ในวันที่ 11 กันยายน

         หลังจากนั้นในช่วงกลางสัปดาห์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่มเกมแรกจะเริ่มต้นซึ่ง "สิงห์บลูส์" จะเฝ้าบ้านต่อเนื่องรับการมาเยือนของ เซนิต เซนต์ ปีเตอร์สเบิร์ก


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด