:::     :::

ปรบมือให้ เอดูอาร์ เมนดี้

วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม 2564 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
1,306
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เกมที่มสนามคอมมิวนิตี้ สเตเดี้ยมจบลงที่ชัยชนะของ เชลซี ที่สกอร์ 1-0 จากประตูของ เบน ชิลเวลล์ ช่วยให้ทีมคว้าสามคะแนนกลับมาแบบหืดจับ

         แต่ฮีโร่ตัวจริงสำหรับเกมนี้คงหนีไม่พ้น เอดูอาร์ เมนดี้ ที่เซฟช่วยทีมรักษาสกอร์และเก็บคลีนชีตได้ในเกมนี้ โดยเฉพาะในครึ่งหลังที่้เซฟจังหวะสำคัญหลายต่อหลายครั้ง

         เช่นกับสามเซนเตอร์ในเกมนี้อย่าง เทรเวอห์ ชาโลบาห์, อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ มาล็อง ซาร์ ที่เล่นกันอย่างแข็งขันเหลือเกิน แม้จะปล่อยให้คู่แข่งได้โอกาสจบสกอร์ไม่น้อยเหมือนกัน แต่ก็เห็นถึงความพยายามที่น่าประทับใจ

         ชัยชนะจากเกมนี้แสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของหัวจิตหัวใจอันแข็งแกร่งของทีมที่จะมีผลต่อการสู้ศึกฤดูกาลนี้ไปยาวๆ


การจัดทีม

         โธมัส ทูเคิ่ล จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนแปลงในแนวรับเมื่อ ติอาโก้ ซิลวา ไปรับใช้ชาติถึงอเมริกาใต้ เร็วเกินไปที่จะลงเล่น ส่วน อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ก็เจ็บมาจากการรับใช้ชาติ

         นั่นทำให้สามเซนเตอร์ต้องเอา เทรเวอห์ ชาโลบาห์ กับ มาล็อง ซาร์ ลงเล่นร่วมกับ อันเดรียส คริสเตนเซ่น โดยเฉพาะในรายของ ซาร์ นี่ถือเป็นการลงเล่นในพรีเมียร์ลีกใหกับ เชลซี เป็นเกมแรกเลย โดยมี เอดูอาร์ เมนดี้ ยืนผู้รักษาประตู

         ส่วนมิดฟิลด์ เอ็นโกโล่ ก็องเต้, มาเตโอ โควาซิช และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ที่ทำผลงานได้ดีในช่วงหลังทำหน้าที่โดยมี เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า กับ เบน ชิลเวลล์ เป็นวิงแบ็กขวา-ซ้าย กองหน้า ติโม แวร์เนอร์ ล่าตาข่ายกับ โรเมลู ลูกากู

ครองเกมเหนือกว่า


         ไม่ผิดจากที่คาดไว้เท่าไรหลังจากสิ้นเสียงนกหวีดที่เกมจะอยู่ในการครอบครองของฝั่ง เชลซี ซึ่งการมี รูเบน ลอฟตัส-ชีค ลงเล่นแสดงให้เห็นว่า โธมัส ทูเคิ่ล ต้องการแรงทะลุทะลวงตรงกลางมากขึ้น เพราะโดยเฉพาะทางริมเส้นก็ทำกันได้ดีอยู่แล้ว

         เช่นเดียวกับพละกำลังของ โรเมลู ลูกากู และความขยันของ ติโม แวร์เนอร์ ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการเล่นเกมบุกของทีมในเกมนี้ ในนาทีที่ 3 ทีมน่าจะได้ประตูแบบสวยๆเมื่อ รูเบน ลอฟตัส-ชีค กระชากบอลมาถึงหน้าเขตโทษก่อนไหลให้ ติโม แวร์เนอร์ ไปข้ามหลอกจะสับไกแต่ผู้เล่นเจ้าถิ่นอยู่กันเยอะสกัดเอาไว้ได้

         จังหวะนี้หากเล่นชิงให้ ลอฟตัส-ชีค ที่ทะลุเข้าเขตโทษไปแล้วน่าจะมีลุ้นได้จบสกอร์และจะเป็นประตูที่น่าปรบมือให้เลย

         "สิงห์บลูส์" ที่ครองเกมบุกอยู่ข้างเดียวแต่ยังหาช่องเข้าทำแบบจะแจ้งไม่ได้ โดยโอกาสสับไกมาจากฟรีคิกนาทีที่ 17 ของ โรเมลู ลูกากู แต่บอลก็ข้ามคานออกไป


         แต่การตอบโต้ของเจ้าบ้านก็เกือบได้ประตูจากบอลโด่งเข้าเขตโทษ คริสเตียน นอร์การ์ด โหม่งตั้งให้ ไบรอัน เอ็มเบวโม่ วอลเล่ย์ด้วยซ้ายเต็มๆบอลชนเสาอย่างน่าเสียดาย

         ฝั่ง เชลซี มาส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้สำเร็จในจังหวะต่อเนื่องที่สวนกลับ ติโม แวร์เนอร์ หลุดมาทางซ้ายก่อนไหลเข้ากลาง โรเมลู ลูกากู โฉบมายิงบอลผ่าน ดาบิด ราย่า เข้าไปแต่ว่าเป็นจตังหวะล้ำหน้าซะก่อน

ประตูขึ้นนำ

         หลังจากนั้นทีมเร่งเครื่องมากขึ้นในช่วง 10 นาทีท้ายของครึ่งแรกและน่าได้ประตูอีกครั้งจากบอลยาว เบน ชิลเวลล์ โหม่งตั้งให้ โรเมลู ลูกากู แตะคืนมาที่ ติโม แวร์เนอร์ กดด้วยขวาหน้าเขตโทษบอลข้ามคานไปอย่างน่าเสียดาย


         เห็นได้ชัดว่า ชิลเวลล์ ถูกดันขึ้นมาสูงทางฝั่งซ้ายในขณะที่ ติโม แวร์เนอร์ ถูกโยกไปทางฝั่งขวา ซึ่งถือว่าทีมบุกดูมีอะไรมากขึ้นอย่างชัดเจน

                กระทั่งในช่วงทดเจ็บ เชลซี ก็มาพังประตูขึ้นนำจนได้ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ตักบอลเข้าเขตโทษเจ้าบ้านสกัดออกมาไม่พ้นอันตรายกลายเป็นตั้งให้ เบน ชิลเวลล์ อัดด้วยซ้ายบอลพุ่งเสียบตาข่ายเป็น 1-0 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้

โมเมนตัมของเจ้าถิ่น

         ในขณะที่ครึ่งแรกเป็น เชลซี ที่ครองบอลบุกและได้โอกาสมากกว่า ครึ่งหลังต้องบอกว่าเกมเป็นของ เบรนท์ฟอร์ด ที่เหนือกว่าเหมือนกัน

         การเล่นต่อหน้าแฟนบอลในบ้านตัวเองช่วงเพิ่มพลังให้พวกเขาอย่างไม่น่าเชื่อ อันที่จริงครึ่งแรกทีมของ โธมัส แฟร้งค์ ก็สู้ยิบตาอยู้แล้วเพียงแต่หาโอกาสได้ไม่มากนัก


         หลังเกมเป็นรองทาง โธมัส ทูเคิ่ล ไม่รอช้าขยับเปลี่ยน เมสัน เมาท์ ลงเล่นในนาทีที่ 65 ซึ่งมีการขยับการยืนมาเป็น 3-4-3 ให้ทีมเล่นเกมรุกทางริมเส้นมากขึ้น

ฟอร์มเทพของ เมนดี้

         แม้จะมีการปรับแผนแต่เกมของ เชลซี แทบไม่ได้สร้างความอันตรายให้กับเจ้าบ้านเลย แถมยังเกือบเสียประตูนาทีที่ 73 จากจังหวะทุ่มไกล อีธาน พินน็อค โหม่งเช็ดเข้ากลางบอลมาเข้าทางปืน อีวาน โทนี่ย์ ตวัดยิงด้วยขวาแต่ เอดูอาร์ เมนดี้ เซฟได้อย่างยอดเยี่ยม

         อีกสองนาทีให้หลังโอกาสอีกครั้งของ เบรนท์ฟอร์ด, มาร์คุส ฟอร์สส์ ชิ่งบอลให้ ไบรอัน เอ็มเบวโม่ ได้เข้าไปยิงในเขตโทษคราวนี้ผ่านมือ เอดูอาร์ เมนดี้ ไปได้แต่บอลชนเสาอีกครั้ง


        เชลซี แก้เกมด้วยการเอา ไค ฮาแวร์ตซ์ ลงมาแทน โรเมลู ลูกากู เพื่อมาช่วยไล่บอลนาทีที่ 76 แต่ทีมก็เกือบเสียประตูอีกครั้งจังหวะของ ซามาน ก็อดดอส ได้ยิงจ่อๆแต่ เอดูอาร์ เมนดี้ ออกมาปิดมุมเร็วเซฟไว้ได้ คริสเตียน นอร์การ์ด เอาบอลมาวนหาโอกาสยิงจนได้คราวนี้ เมนดี้ ไม่อยู่แต่ เทรเวอห์ ชาโลบา ก็สกัดจากเส้นได้อีก

         เบรนท์ฟอร์ด มาเป็นพายุจังหวะบอลเปิดเข้าเขตโทษสุดท้ายเป็น ปอนตุส แยนส์สัน ซัดจ่อๆนาทีที่ 86 แต่ก็ติด เอดูอาร์ เมนดี้ จนมาถึงนาทีที่ 89 โธมัส ทูเคิ่ล เปลี่ยนคนสุดท้ายเอา รีซ เจมส์ ลงมาแทน เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า ที่โดนโจมตีหนักจริง

         ช่วงทดเจ็บ เมนดี้ ก็เป็นพระเอกอีกครั้งจังหวะที่ คริสเตียน นอร์การ์ด ได้ตีลังกายิงบอลจะเสียใต้คานแต่ก็ไม่ผ่านมือกาวสิงห์บลูส์ช่วยให้ทีมคว้าชัยชนะกลับบ้านแบบใจหายใจคว่ำ


เกมถัดไป

         เชลซี จะเล่นในบ้านเจอกับ มัลโม่ ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกวันพุธนี้ และจะได้เล่นในบ้านต่อเจอกับ นอริช ซิตี้ ในเกมพรีเมียร์ลีกวันเสาร์หน้า


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด