เป็นผู้นำอย่างผ่าเผย
"หงส์แดง" นำ ไบรท์ตัน สองประตูจบลงด้วยผลเสมอ ส่วนทีมชอง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ถึงกับแพ้ คริสตัล พาเลซ คาบ้านไปเลย
ไม่ต้องเอาเรื่องบอลยุโรปกลางสัปดาห์ขึ้นมาพูด เพราะทั้งสามทีมก็ต่างมีโปรแกรมเหมือนกันทั้งนั้นซึ่งทั้งคู่เองเล่นในบ้าน ส่วน "สิงห์บลูส์" ต้องออกไปเยือน
ถึงตอนนี้ทีมขยับนำห่าง 3 คะแนนซึ่งก็ถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีแม้ว่ามันจะเพิ่งผ่านมาเพียง 1 ใน 4 ของฤดูเท่านั้น
อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มกำลังใจและความอุ่นใจให้นักเตะไม่เครียดเกมไปในเกมหน้า
การจัดทีม
โธมัส ทูเคิ่ล ปรับทีม 3 ตำแหน่งจากเกมลีกเมื่อนัดที่แล้วที่ถล่ม นอริช ซิตี้ 7-0 โดยทาง มาเตโอ โควาซิช มีอาการบาดเจ็บให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ ลงสนาม นับเป็นการออกสตาร์ทเกมที่ 200 กับสโมสร
เมสัน เมาท์ ที่หายหน้าไปจากทีมทั้งที่เพิ่งทำแฮตทริคเมื่อสัปดาห์ที่แล้วทางนายใหญ่ชาวเยอรมันเผยหลังเกมว่าป่วยกระทันหันและส่งตัวกลับลอนดอนไปเป็น ฮาคิม ซิเย็ค ได้ลงเล่นในเกมรุก ส่วนกองหลัง อันเดรียส คริสเตนเซ่น ลงสนามแทน เทรเวอห์ ชาโลบาห์
ทีมมี เอดูอาร์ เมนดี้ เฝ้าเสา กองหลังเป็น อันโตนิโอ รือดิเกอร์, ติอาโก้ ซิลวา และ อันเดรียส คริสเตนเซ่น วิง-แบ็กสองฝั่งเป็น รีซ เจมส์ กับ เบน ชิลเวลล์ โดยมี จอร์จินโญ่ จับคู่กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ แนวรุก คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ได้กลับไปทำเกมอีกครั้งกับ ฮาคิม ซิเย็ค ส่วนกองหน้า ไค ฮาแวร์ตซ์ ปักหลัก
ครึ่งแรกที่น่าอึดอัด
แม้ เชลซี จะเป็นฝั่งที่เขี่ยเกมก่อนแต่นาทีแรกเป็นเจ้าบ้านที่ได้ลุ้นประตูก่อนจังหวะที่ ไรอัน เฟรเซอร์ ทะลุมาทางซ้ายก่อนกึ่งยิงกึ่งผ่านบอลผ่านหน้าปากประตูไป
หลังจากนั้น "สิงห์บลูส์" ครองบอลบุกใส่เป็นชุด แต่จังหวะสุดท้ายยังไม่ได้ลุ้นอะไร ที่อาจจะได้ฮือฮาหน่อยก็ในนาทีที่ 9 เมื่อ ฮาคิม ซิเย็ค ได้วอลเล่ย์ในกรอบแต่ติดบล็อค
ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าอึดอัดของฝั่งผู้มาเยือนที่จังหวะสุดท้ายนั้นไม่ได้จบสกอร์แบบได้น้ำได้เนื้อเลย แต่ก็ต้องชม นิวคาสเซิ่ล ที่รับกันเหนียวแน่นแถมนักเตะทุกคนวิ่งกันขาดใจเลย
จะได้เฮหน่อยก็นาทีที่ 28 ที่ เชลซี ส่งบอลสุ๋ก้นตาข่ายได้จังหวะที่ จอร์จินโญ่ ไหลบอลให้ ฮาคิม ซิเย็ค ปั่นด้วยซ้ายในเขตโทษด้านขวาบอลเสียบตาข่ายสวยงามแต่เป็นจังหวะล้ำหน้าไปซะก่อน
นิวคาสเซิ่ล ก็พยายามสู่ แต่ต้องยอมรับว่าศักยภาพเป็นรองเยอะ เกมที่บุกขึ้นมายังไม่ถึงจังหวะจบก็โดนสกัดไว้ได้หมด จบครึ่งแรกยังไม่มีประตู
เปิดครึ่งหลังอย่างดุดัน
เปิดฉากในช่วง 45 นาหลังของเกมทาง เชลซี เดินหน้าลุยและหาโอกาสจบได้หลายต่อหลายครั้งทั้งจังหวะยิงของ ฮาคิม ซิเย็ค ตั้งแต่นาทีแรกแต่เบาเข้ามือ คาร์ล ดาร์โลว์, อีกครั้งของ ซิเย็ค ที่แฉลบบอลไปชนเสา, ไค ฮาแวร์ตซ์ ที่ยิงนอกกรอบไม่ผ่าน คาร์ล ดาร์โลว์ และจอร์จินโญ่ ที่ยิงข้ามคาน ถือว่าเป็นนิมตรหมายที่ดีที่ทีมได้จบสกอร์อย่างต่อเนื่อง
นาทีที่ 65 เชลซี มาปลดล็อคสำเร็จจนได้ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย เปิดบอลจากทางซ้าย เคียแรน คล้าร์ก เคลียร์ไม่ขาด รีซ เจมส์ ที่เติมเกมสูงเก็บตกบอลในเขตโทษด้านขวาแล้วด้วยซ้ายบอลพุ่งเสียบตาข่ายอย่างสวยงามเป็น 1-0
เชลซี ไม่จำเป็นต้องกดดันบุกมากเหมือนในตอนแรก แต่ก็ดูเหมือนว่าตอนนี้สมาธิของทางฝั่ง นิวคาสเซิ่ล ก็หลุดไปเหมือนกันกระทั่ง "สิงห์บลูส์" มาพังประตูเพิ่มนาทีที่ 77 รูเบน ลอฟตัส-ชีค ยิงหน้าเขตโทษติดบล็อคบอลเข้าทางปืน รีซ เจมส์ กดด้วยขวาในเขตโทษบอลพุ่งเสียบตาข่ายชนิดที่ คาร์ล ดาร์โลว์ ที่ไปเสียจังหวะตั้งแต่หนแรกหมดสิทธิ์
10 นาทีสุดท้ายของเกม เชลซี มาได้จุดโทษจังหวะที่ ไค ฮาแวร์ตซ์ หลุดเข้าเขตโทษก่อนโดน คาร์ล ดาร์โลว์ สกัดล้มลงไป จอร์จินโญ่ รับหน้าที่สังหารไม่พลาดให้ทีมนำขาด 3-0
อันที่จริงจังหวะแบบนี้ รีซ เจมส์ น่าจะได้ทำหน้าที่เพื่อโอกาสในการทำแฮตทริค แต่ทาง จอร์จินโญ่ ออกมาเผยว่าทาง เจมส์ ไม่ได้เข้ามาขอยิง ไม่อย่างนั้นก็คงให้ไปแล้ว
แต่ เจมส์ ก็เกือบทำสำเร็จในจังหวะยิงอีกครั้งแต่บอลไม่เข้ากรอบ
เก็บคลีนชีต
หลังพังตาข่ายประตูที่สามทีมเล่นตามเกมอย่างสบายใจ ในขณะที่ฝั่ง นิวคาสเซิ่ล เองก็ถอดใจไปถึงไหนต่อไหนแล้ว
คลีนชีตในเกมนี้เท่ากับว่า เชลซี เก็บคลีนชีตไปแล้ว 18 เกม มากกว่าประตูที่เสียที่ 16 ลูกภายใต้การคุมทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล
นอกจากนี้นี่ยังเป็นครั้งแรกที่ทีมเก็บคลีนชีตนอกบ้าน 3 เกมติดต่อกันนับตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2016 สมัยที่ทีมได้แชมป์พรีเมียร์ลักภายใต้การคุมทีมของ อันโตนิโอ คอนเต้ ด้วย
เกมถัดไป
ทีมจะบุกเยือน มัลโม่ ในเวทียูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก จากนั้นมาเล่นเกมลีกเจอกับ เบิร์นลี่ย์ ก่อนจะพักเบรกทีมชาติ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT