:::     :::

ฟุตบอลก็เป็นแบบนี้!

วันจันทร์ที่ 06 ธันวาคม 2564 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
1,814
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
เกมที่สูสีใน "ลอนดอน ดาร์บี้" ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ของฝั่ง เชลซี ในแบบที่แฟนบอลยากที่จะยอมรับได้

         การขึ้นนำสองครั้งสองครา ครั้งเดียวที่โดนแซงนำจบลงด้วยความพ่ายแพ้ โดยเฉพาะประตูแรกกับลูกที่สามต้องบอกว่าไม่น่าจะเสียเลยจริงๆ

         เกมที่เหนือกว่า โอกาสจบสกอร์มากกว่าโดยเฉพาะการยิงเข้ากรอบ ดังนั้นจบเกมด้วยมือเปล่ามันช่างน่าเจ็บใจเหลือเกิน

         โดยเฉาพะอย่างยิ่งเมื่อสองคู่แข่งทั้ง แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล ต่างก็คว้าชัยชนะด้วยกันทั้งสองทีมทำให้ "สิงห์บลูส์" เสียตำแหน่งจ่าฝูงไป

         ในเดือนที่โปรแกรมหฤโหด การเริ่มต้นด้วยความพ่ายแพ้แบบไม่ควรจะแพ้แบบนี้หวังว่าคงจะไม่เสียกำลังใจกันไป


การจัดทีม

         เชลซี ปรับ 4 ตำแหน่งจากชัยชนะเหนือ วัตฟอร์ด โดยเกมนี้ รีซ เจมส์ กับ จอร์จินโญ่ ฟิตกลับมาเป็นตัวจริง โดยที่รายแรกลงเล่นเป็นเกมที่ 100 ในสีเสื้อ "สิงห์บลูส์" ด้วย

         อีกสองคนคือ ติอาโก้ ซิลวา และ ฮาคิม ซิเย็ค ที่เป็นสำรองลงสนามในเกมที่กลับออกสตาร์ท 11 คนแรกในเกมที่ลอนดอน สเตเดี้ยม

         เอดูอาร์ เมนดี้ เป็นผู้รักษาประตู กองหลังมี อันเดรียส คริสเตนเซ่น, ติอาโก้ ซิลวา และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ แดนกลางมี รีซ เจมส์, รูเบน ลอฟตัส-ชีค, จอร์จินโญ่ และ มาร์กอส อลอนโซ่ แนวรุกเป็น ฮาคิม ซิเย็ค กับ เมสัน เมาท์ กองหน้าตัวเป้าเป็น ไค ฮาแวร์ตซ์ 

         เป็นอีกครั้งที่ โรเมลู ลูกากู เป็นตัวสำรองหลังหายกลับมาและเป็นสำรองมาตลอด 2 เกมหลัง ด้าน ซาอูล ญีเกซ ที่โดนถอดออกตั้งแต่ครึ่งแรกเกมที่แล้วก็นั่งอยู่ข้างสนามตามเดิม


ช่วงออกสตาร์ทที่สูสี

         ถือเป็นการวางแผนที่ไม่ธรรมดาของ เดวิด มอยส์ เมื่อเกมที่ขยับมาใช้ "แบ็กทรี" ตามแผนเดียวกับ เชลซี ซึ่งที่ผ่านมาพวกเขาเล่นแบบ "แบ็กโฟร์มาตลอด" 

         ช่วงออกสตาร์ทแรกบอลอยู่ในการครอบครองของ เชลซี มากกว่า แต่โอกาสลุ้นประตูเป็นของ เวสต์แฮม ที่ทำได้ดีกว่าทั้งลูกยิงของ จาร์ร็อด โบเว่น และ ลูกโหม่งของ โทมัส ซูเช็ค สองหนซ้อน แต่บอลไม่เข้ากรอบทั้งสองครั้ง

         โอกาสลุ้นแรกของ "สิงห์บลูส์" เกิดขึ้นหลังผ่านไป 10 นาทีที่ รีซ เจมส์ ได้สับไกจากนอกกรอบแต่บอลไม่ผ่านมือ ลูคัส ฟาเบียนสกี้ ส่วน เวสต์แฮม ก็มาได้โอกาสอีกครั้งนาทีที่ 20 จากลูกยิงของ เคร็ก ดอว์สัน ซึ่ง เอดูอาร์ เมนดี้ ไม่พลาด


ได้ประตูและเสียประตู

         เวสต์แฮม อาจจะมีลูกตั้งเตะที่ยอดเยี่ยมในซีซั่นนี้ แต่ เชลซี ก็เล่นงานพวกเขาได้ในลูกลักษณะเดียวกันจากลูกเตะมุมที่ เมสัน เมาท์ เปิดมากลางประตูบอลมาถึง ติอาโก้ ซิลวา ที่ขึ้นโหม่งตามสูตรบอลตกพื้น ลูคัส ฟาเบียนสกี้ พุ่งสุดตัวปัดปลายมือแต่ไม่พ้นบอลเข้าประตูไปนาทีที่ 28

         ทาง "ขุนค้อน" เสียประตูแต่ไม่เสียกระบวนและน่าตีเสมอได้สองนาทีให้หลัง วลาดิเมียร์ ชูฟัล เก็บตกบอลในเขตโทษด้านขวาแล้วสับไกบอลพุ่งผ่าน เอดูอาร์ เมนดี้ ไปแล้วแต่ ติอาโก้ ซิลวา ที่ถอยลงไปสกัดออกมาจากเส้นประตูหวุดหวิด

         หลังจากนั้นเกมที่ทำไม่มีอะไรกลับมา "มีอะไร" แบบสองเด้งเมื่อ จอร์จินโญ่ จ่ายคืนหลังไม่ดูแต่บอลก็ดึง เอดูอาร์ เมนดี้ โดยมี จาร์ร็อด โบเว่น ที่บี้มาติดๆซึ่งมือกาวทีมชาติเซเนกัลก็ใช้ความใหญ่บังเอาไว้ แต่เมื่อมีจังหวะเตะทิ้งไปได้แต่ไม่เตะสุดท้ายบอลหลุดแล้วจะล้มตัวเตะก็กลายเป็นเตะ โบเว่น เสียจุดโทษไป


         มานูเอล ลันซินี่ รับหน้าที่สังหารยิงไปทางซ้ายของตัวเองในขณะที่ เมนดี้ พุ่งไปอีกทาง สกอร์กลับมาเท่ากันที่ 1-1 โดยประตูนี้เป็นเพียงลูกที่ 3 เท่านั้นที่ทีมเสียในครึ่งแรกของซีซั่นนี้

         เช่นเดียวกับทางเจ้าบ้านฝั่ง "สิงห์บลูส์" ก็ไม่ได้เสียชวัญอะไรและกลับมาเปิดเกมบุกอีกครั้งและก็มาแซงนำก่อนหมดครึ่งแรก รูเบน ลอฟตัส-ชีค วางบอลให้ ฮาคิม ซิเย็ค เกี่ยวลงรอจังหวะเปิดเข้าเขตโทษด้านขวา เมสัน เมาท์ ที่เติมขึ้นมาตั้งขาแปด้วยขวาบอลพุ่งเสียบเสาแรกเข้าไปอย่างเหมาะเหม็ง เชลซี นำ 2-1 ใน 45 นาทีแรก

ครึ่งหลังที่น่าเจ็บปวด

         โธมัส ทูเคิ่ล ขยับเปลี่ยนตัวตั้งแต่ช่วงพักครึ่งเลยด้วยการเอา โรเมลู ลูกากู ลงสนามมาแทน ไค ฮาแวร์ตซ์ 

         แต่เกมของ เชลซี ในช่วงครึ่งหลังกลับไม่ได้ออกสตาร์ทได้ดีแบบที่คาดและหลังผ่านไป 10 นาทีก็มาเสียประตูตีเสมอแบบไม่ควรจากบอลยาวที่ ติอาโก้ ซิลวา โหม่งได้บอลก็ดูจะไม่มีอะไรแต่ วลาดิเมียร์ ชูฟัล แหย่บอลมาถึง จาร็อด โบเว่น กดด้วยซ้ายบอลพุ่งเรียดเสียบตาข่ายไปหน้าตาเฉยเล่นเอาแฟนสิงห์เงียบกันหมด


         เกมของ เชลซี ก็นิ่งไปเลยจนต้องขยับเปลี่ยนตัวคนที่สองเอา คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย ลงมาแทน ฮาคิม ซิเย็ค ซึ่งก็พอกระปรี้กระเปร่ามากขึ้น แต่อาการบาดเจ็บของ มาร์กอส อลอนโซ่ ที่เจ็บทำให้ทีมต้องเปลี่ยนออกแล้วเอา คริสเตียน พูลิซิช ลงเล่นแทน แน่นอนว่า ฮัดสัน-โอดอย โดนถอยลงเป็นวิง-แบ็กไป

         ดูเหมือนว่ากำลังใจของเจ้าบ้านจะมาเต็มและเกือบขึ้นนำจังหวะที่ มิคาอิล อันโตนิโอ เปิดบอลเข้ากลาง จาร์ร็อด โบเว่น สอดมายิงแต่บอลไม่เข้ากรอบ

         แต่เกมที่ทำท่าว่าคงไม่มีอะไรเจ้าบ้านกลับมาขึ้นนำจังหวะที่ อาร์ตูร์ มาซูอากู ได้บอลทางซ้ายก่อนหาช่องจะเปิดทว่าบอลมันไปที่เสาแรกในขณะที่ เอดูอาร์ เมนดี้ ก็ไม่ได้คาดคิดว่าบอลจะมาเหลี่ยมนี้กลายเป็นลอยเข้าประตูไปเลยและเป็นประตูที่ส่งให้ เชลซี แพ้เกมที่สองของฤดูกาลนี้


         เรียกได้ว่าทั้งสามประตูที่ทีมเสียนั้นไม่ควรจะเสียเลยแม้แต่ลูกเดียวก็ว่าได้ แต่บางครั้งเกมฟุตบอลก็แบบนี้แหละ หวังว่าคราวหน้ามันจะเกิดกับ ลิเวอร์พูล หรือ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ บ้าง

เกมถัดไป

         เชลซี จะบุกไปเยือน เซนิต ในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกรอบแบ่งกลุ่มนัดสุดท้าย แม้จะเข้ารอบไปแล้วแต่ยังมีภารกิจคว้าชัยชนะเพื่อการันตีการเป็นแชมป์กลุ่ม แล้วจากนั้นจะกลับมาเล่นในลีกอีกครั้งเปิดบ้านพบกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด



คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})