ประเด็นน่าสนใจสิงห์แพ้เรือ
เท่ากับว่าตอนนี้ "สิงห์บลูส์" ตามหลังทีมจ่าฝูงห่างเป็น 13 คะแนนหลังผ่าน 22 เกม โดย 2 เกมที่เจอกันในซีซั่นนี้ลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ทั้งหมด ทำให้เสียแต้มทั้งไป-กลับ 12 แต้มกันเลย
ประตูเดียวของ เควิน เดอ บรอยน์ ตัดสินชัยชนะในเกมนี้ แต่ทางฝั่งผู้มาเยือนเองก็มีโอกาสในการเจาะตาข่ายเช่นกันเพียงแต่ขาดความเด็ดขาดไป
ต้องยอมรับว่าตอนนี้ซิตี้กำลังมาดีจริงๆ ชัยชนะ 12 เกมติดต่อกันในลีกในช่วงเวลาที่มีปัญหาทั้งหลายยังไงก็ต้องปรบมือให้ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จริงๆ
เควิน เดอ บรอยน์ จอมสอยตาข่ายทีมเก่า
ในฤดูกาลที่ยากลำบากในการแสดงผลงานออกมาของ เควิน เดอ บรอยน์ ดูเหมือนว่าเจ้าตัวจะกลับมาเข้าฟอร์มได้ทันเวลา
หลังจากที่ทำแค่ 2 ประตูจาก 10 เกมแรก แถมยังติดโควิด มิดฟิลด์ทีมชาติเบลเยี่ยมทำ 4 ประตูกับ 1 แอสซิสต์ใน 6 เกมหลัง รวมถึงประตูชัยในเกมนี้ด้วย
ถือเป็นการลบฝันร้ายและเป็นค่ำคืนที่พิเศษของเจ้าตัว ไม่ใช่แค่การเคยเป็นเด็กเก่าเท่านั้น แต่ความเจ็บปวดจากความพ่ายแพ้ที่เจอกันในเกมชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ซึ่งเกมนั้น เดอ บรอยน์ เบ้าตาแตกด้วย
ประตูในเกมนี้ถือเป็นลูกที่ 5 แล้วที่เจ้าตัวยิงใส่ เชลซี ถือเป็นเด็กเก่าที่สอยตาข่ายใส่ "สิงห์บลูส์" มากที่สุดไปเลย
เชลซี ยากจะเจาะแนวรับของ แมนฯ ซิตี้
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นทีมที่เสียประตูน้อยที่สุดในซีซั่นนี้แค่ 13 ลูกไม่ได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะความแข็งแกร่งของพวกเขานั่นเอง
ตลอด 45 นาทีแรก เชลซี ไม่ได้ยิงเข้ากรอบเลย และตลอดทั้งเกมยิงเข้ากรอบ 4 หนแต่ว่าไม่ได้ประตูกลับบ้านไป
เอมเมอริก ลาปอร์กต์ และ จอห์น สโตนส์ สองเซนเตอร์ของ "เรือใบ" ทำหน้าที่อย่างดีเยี่ยม โดยที่ทั้งคู่ดวลลูกกลางอากาศชนะทั้ง 9 ครั้งตลอดทั้งเกม แม้ว่า เชลซี จะมีหัวหอกร่างใหญ่อย่าง โรเมลู ลูกากู ก็ตาม
ด้าน เอแดร์ซอน ก็เก็บคลีนชีตเป็นรัดที่ 83 ในการเฝ้าเสาให้กับซิตี้ และเป็นหนที่ 13 ในฤดูกาลนี้ด้วย
ชัยชนะที่ทำให้ แมนฯ ซิตี้ ขยับเข้าใกล้ตำแหน่งแชมป์
แม้จะผ่านมาไม่ถึง 1 ใน 3 ของฤดูกาลนี้ แต่ดูเหมือนว่าเหล่าบรรดากูรูและผู้สันทัดกรณีทั้งหลายแทบจะยกให้ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ เป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกซีซั่นนี้ไปแล้ว
สามแต้มเหนือ เชลซี ถือเป็ยชันชนะเกมที่ 12 ติดต่อกันของทัพ "เรือใบ" นั่นทำให้พวกเขานำห่างผู้ตามอย่าง ลิเวอร์พูล ไกล 11 คะแนน แม้จะแข่งมากกว่าอยู่หนึ่งเกมก็ตาม
เกมนี้ทีมของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า เหนือกว่าทุกกระบวนท่าทั้งยิงเข้ากรอบมากกว่า ครองบอลมากกว่า ผ่านบอลสำเร็จมากกว่า แถมยังผ่านเกมใหญ่แบบนี้โดยที่ไม่มีผู้เล่นได้ใบเหลืองหรือใบแดงอีกด้วย
ชัยชนะในเกมนี้แสดงให้เห็นถึงระดับการเล่นของ แมนฯ ซิตี้ ที่เหนือกว่าคู่แข่ง และเมื่อดูคู่แข่งที่รออยู่ในลีกอย่าง เซาธ์แฮมป์ตัน, เบรนท์ฟอร์ด, นอริช ซิตี้, สเปอร์ส และ เอฟเวอร์ตัน คงไม่แปลกที่พวกเขาจะเก็บชัยชนะต่อไป
โรเมลู ลูกากู กับความน่าผิดหวังอีกครั้ง
ดาวยิงทีมชาติเบลเยี่ยมกลับมาพร้อมกับความคาดหวังอย่างสูงหลังประสบความสำเร็จอย่างยอดเยี่ยมกับ อินเตอร์ มิลาน เมื่อซีซั่นที่แล้ว
หลังการออกสตาร์ทอย่างยอดเยี่ยมทำ 3 ประตูจาก 3 เกมแรก เจ้าตัวหายหน้าไปจากการทำประตูในพรีเมียร์ลีกถึง 8 เกมติดต่อกัน ก่อนจะกลับมาโชว์ผลงานดีอีกครั้งทำ 2 ประตูกับ 1 แอสซิสต์จาก 2 เกมและได้พักมาเต็มหลังไม่มีลงสนามในเกมกับ ลิเวอร์พูล
แต่ที่เอติฮัด สเตเดี้ยม ลูกากู ไม่ได้คุกคามอะไรเจ้าบ้านเลย โอกาสที่น่าจะทำประตูขึ้นนำให้กับทีมได้ก็ยิงไปติดเซฟ เอแดร์ซอน และไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน
ตลอด 90 นาทีที่อยู่ในสนาม ลูกากู ยิงเข้ากรอบหนเดียว จ่ายบอลเข้าเป้าเพียง 7 หนแถมเลี้ยงไม่ผ่านใครเลย และยิงไม่ได้ได้เกมที่เจอกับ 6 ทีมใหญ่ด้วย
เชลซี กับโอกาสลุ้นแชมป์ที่หมดไป
ฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของ เชลซี ในช่วงต้นซีซั่นดูลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ จากที่มีแต้มนำเป็นจ่าฝูงกลายเป็นว่าตอนนี้ทีมโดนทิ้งห่างไปไกลเหลือเกิน
ชัยชนะแค่ 2 จาก 8 เกมหลังในพรีเมียร์ลีก สวนทางกับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ โดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะการเล่นในเกมนี้เห็นได้ชัดเลยว่าพวกเขาเป็นรองอย่างชัดเจน
โธมัส ทูเคิ่ล มีการบ้านให้ทำอีกเยอะทีเดียวเพราะยังไงเกมลีกก็ถือว่ามีความสำคัญ แม้จะลุ้นแชมป์ยากแต่ "ท็อปโฟร์" ไม่อาจปล่อยให้หลุดมือไปโดยเด็ดขาด
ตอนนี้บอลถ้วยก็ยิ่งทวีความสำคัญขึ้นมาต้องเอามาไว้ให้ได้ เพราะในลีกบอกตรงๆก็คงลุ้นกันยากแล้ว
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT