จุดน่าสนใจจากเกมชิงคาราบาว คัพ
แต่ภาพรวมเกมนี้ถือเป็นการเสมอ 0-0 ที่สนุกทีเดียว ไม่ได้น่าเบื่อเลย ทั้งสองทีมต่างมีโอกาสที่จะทำประตูซึ่งกันและกันโดยเฉพาะทาง "สิงห์บลูส์" ที่ส่งบอลสู่ก้นตาข่ายหลายคนแต่โดนจับล้ำหน้าไป
สุดท้ายเป็น "หงส์แดง" คว้าแชมป์รายการนี้เป็นสมัยที่ 9 มากที่สุดในประเทศและเป็นแชมป์รายการนี้ครั้งแรกในรอบ 10 ปี
นับเป็นอีกเกมในความทรงจำของทั้งสองทีมและศึกคาราบาว คัพ เลยทีเดียว
ความยอดเยี่ยมของผู้รักษาประตูทั้งสองฝั่ง
เชลซี มีการเปลี่ยนแปลงอย่างที่ โธมัส ทูเคิ่ล บอกไว้กาอนเกมว่าไม่การันตีว่าใครจะลงเฝ้าเสา และสุดท้ายก็เป็น เอดูอาร์ เมนดี่ ที่ลงทำหน้าที่ ทั้งที่ตลอดการแข่งขันรสายการนี้ เกปา อาร์รีซาลาก้า ลงเฝ้าเสามาตลอด
ซึ่งทางนายทวารทีมชาติเซเนกัลก็ไม่ทำให้ผิดหวังช่วยเซฟจังหวะสำคัญหลายต่อหลายครั้งโดยเฉพาะจังหวะของ นาบี เกอิต้า และ ซาดิโอ มาเน่
เรียกได้ว่าไม่เสียแรกที่โค้ชไว้วางใจให้ลงเฝ้าเสา แม้สุดท้าย เกปา จะถูกส่งลงเล่นแทนเพื่อเซฟจุดโทษแทน แต่น่าจะเป็นเพราะ ทูเคิ่ล ไม่อยากใจร้ายกับมือกาวชาวสเปนมากจนเกินไปด้วย
ขณะที่ฝรั่ง ลิเวอร์พูล ใช้บริการ ควีวีน เคลเลเฮอร์ มาตลอดและ เจอร์เก้น คล็อปป์ ก็ยืนยันหนักแน่นว่าจะให้เจ้าตัวลงเฝ้าเสาในเกมชิงชนะเลิศ
และเขาก็ไม่ทำให้เจ้านายผิดหวัง โดยเฉพาะจังหวะสังหารจุดโทษที่ต้องบอกว่าแฟนหงส์คงหายใจไม่ทั่วท้องแต่ก็ยิงเข้าไป ถือเป็นอีกเกมน่าน่าจะจดอย่างที่สุดสำหรับเข้าตัวเลย
เกมที่ไม่น่าจดจำของ เมสัน เมาท์
หนึ่งในแข้งตัวความหวังในแนวรุกของ เชลซี ที่ทีมพยายามประคมประหงมอย่างเต็มที่ในช่วง 1-2 สัปดาห์ก่อนเกมจนเจ้าตัวฟิตออกสตาร์ทเป็นตัวจริงได้
แต่นี่อาจจะเป็นเกมที่เจ้าตัวไม่อยากจะจดจำนักเมื่อพลาดโอกาสสำคัญสองหนในช่วงพักครึ่งทำให้สกอร์ของฝั่งตัวเองยังไม่มีการขยับ
หากเป็นในช่วงปกติหรืออย่างที่เราเห็นกันจากแข้งทีมชาติอังกฤษรายนี้อย่างน้อยโอกาสสักหนควรจะตุงตาข่าย และนั่นอาจจะเป็นตัวตัดสินให้ทีมคว้าชัยและได้ชูโทรฟี่ในท้ายที่สุด
โรเมลู ลูกากู กับการออกสตาร์ทเป็นตัวสำรอง
ต้องยอมรับว่าผลงานของ โรเมลู ลูกากู ต้องบอกว่าน่าผิดหวัง แม้ดูจะได้ความมั่นใจจากสองประตูในสองเกมจากศึกสโมสรโลก
โดยเฉพาะในเกมลีกด่อนหน้านี้ที่ทีมบุกชนะ คริสตัล พาเลซ 1-0 อย่าว่าแต่สับไกยิง เจ้าตัวได้โอกาสสัมผัสบอลตลอด 90 นาทีเพียง 7 ครั้งเท่านั้น!
ในเกมชิงถ้วยคาราบาว คัพทาง โธมัส ทูเคิ่ล เลือกใช้ ไค ฮาแวร์ตซ์ ยืนหน้าเป้าโดยประสานงานกับ เมสัน เมาท์ และ ฮาคิม ซิเย็ค ซึ่งผลงานของทั้งสามคนไม่ได้อันตรายอย่างที่คาดหวัง
การลงมาของ ลูกากู เพิ่มมิติเกมรุกให้ทีมมากขึ้นและมีโอกาสสับไกด้วย แต่ว่าไม่ผ่านมือ ควีวีน เคลเลเฮอร์
หวังว่านี่คงไม่ใช่ปีแรกและปีสุดท้ายของหัวหอกทีมชาติเบลเยี่ยมในชุดสีน้ำเงินนะ
หลุยส์ ดิอาซ ที่โดดเด่น
ถือเป็นอีกเกมที่ หลุยส์ ดิอาซ สร้างความประทับใจให้กับแฟนบอล ลิเวอร์พูล อย่างมากจนได้รับคำชื่นชมอย่างมาก
แข้งทีมชาติโคลอมเบียชนะดวลตัวต่อตัว 6 ครั้ง, เก็บบอล 7 ครั้ง, เข้าสกัดบอลชนะ 2 ครั้ง และช่วยเคลียร์บอลอีก 1 ครั้ง พร้อมทั้งปั่นป่วนเกมรับของ เชลซี ได้เกือบตลอด
เรียกได้ว่ายิ่งอยู่ในสนามยิ่งน่ากลัวขึ้นเรื่อยๆ ทั้งที่เพิ่งอยู่กับทีมมาแต่เดือนเศษเท่านั้น แต่เล่นเหมือนอยู่กับทีมมายาวนาน
ไม่ต้องแปลกใจว่าทำไม เจอร์เก้น คล็อปป์ ถึงเปลี่ยน ซาดิโอ มาเน่ แล้วให้ ดิอาซ อยู่ในสนามครบ 120 นาที และยังยิงจุดโทษไม่พลาดอีกด้วย ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยทีมได้แชมป์ไปครองและเป็นแชมป์แรกของเจ้าตัวด้วย
ดราม่าจุดโทษ
กลายเป็นประเด็นให้พูดถึงกันอย่างมากเลยทีเดียวกับการตัดสินใจของ โธทัส ทูเคิ่ล ที่ส่ง เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ลงมาในนาทีสุดท้ายของช่วงต่อเวลาพิเศษเพื่อทำหน้าที่ในการดวลจุดโทษ
ไม่รู้ว่านายใหญ่ชาวเยอรมันคิดยังไง จริงอยู่ที่สถิติเซฟจุดโทษนั้นมือกาวชาวสเปนทำได้ดีและรอบแรกๆของรายการนี้ก็ช่วยทีมมาแล้ว แต่เกมนี้ เอดูอาร์ เมนดี้ ทำผลงานได้ดีตลอดทั้งเกม ความมั่นใจดูมีมากกว่า
อาจจะเป็นไปได้จากกรณีแรกที่ เกปา ทำได้ดีเสมอ อีกอย่างเจ้าตัวลงเฝ้าเสามาตลอด พอเกมชิงชนะเลิศกลับเป็นแค่ตัวสำรอง ทูเคิ่ล อาจจะไม่ได้ทำร้ายจิตใจนักเตะมากเกินไป
แต่ว่าตลอดการดวลจุดโทษทาง เกปา ไม่ได้ใกล้เคียงว่าจะเซฟได้เลยจนล่วงเลยมากระทั่งผู้รักษาประตูต้องมาทำหน้าที่ซึ่งทางฝั่ง ควีวีน เคลเลเฮอร์ ไม่พลาดกลายเป็น เกปา ที่เป็นคนพลาดเองยิงข้ามคานออกไป
ถือเป็นการจบเกมแบบดราม่าจริงๆ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT