แต่ในฐานะ "แชมป์เก่า" ทีมของ โธมัส ทูเคิ่ล คงต้องไว้ลายหน่อย และเกมเลกที่สองที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบวทีมก็ไม่มีอะไรจะเสียนอกจากจะต้องเดินหน้าบุกเพื่อทำให้ได้ 3 ประตูเป็นอย่างน้อย
แน่นอนว่าการบุกไปยิงมาดริดถึงรังให้ได้ 3 ลูกเป็นอย่างน้อยนั้นไม่ใช่งานง่ายเลย แม้ว่า บาร์เซโลน่า เพิ่งทำให้เห็นมาก่อนหน้านี้ในเกมลา ลีกา สเปนเมื่อเดือนที่แล้วก็ตามที
ไหนทีมจะต้องไม่เสียประตูด้วย หรือเสียได้เต็มที่แค่ลูกเดียวเท่านั้น ไม่อย่างนั้นทีมต้องยิงให้ได้มากกว่านั้นอีก
ทว่าชัยชนะท่วมท้นเหนือ เซาธ์แฮมป์ตัน 6-0 ในเกมล่าสุดนั้นเรียกความมั่นใจได้เป็นอย่างดี แม้ว่าศักยภาพมันจะเทียบกันไม่ได้ก็ตามที
วันนี้ไปวิเคราะห์กลยุทธ์ 4 แบบที่ โธมัส ทูเคิ่ล ต้องทำเพื่อที่จะพลิกสภานการณ์เข้ารอบให้ได้
สถานการณ์ทางเซนเตอร์ฝั่งขวา
พื้นที่ที่ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่ เรอัล มาดริด ใช้เล่นงาน เชลซี ในเกมแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ โดยเฉพาะทาง วินิซิอุส จูเนียร์ ที่ใช้ความเร็วปั่นป่วนอย่างหนัก
อันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่รับหน้าที่ในตำแหน่งดังกล่าวไม่อาจรับมือกับสตาร์ทีมชาติบราซิลได้ โดยเฉพาะเรื่องของความคล่องตัวที่เหนือชั้นกว่าอย่างมาก และเมื่อ วินิซิอุส ฝ่าไปได้ก็สามารถจูนติดกับ คาริม เบนเซม่า ผู้ที่ทำแฮตทริคให้กับ "ราชันชุดขาว"
ในตำแหน่งนี้อาจจะต้องมีการปรับในเมื่อวิง-แบ็กขวาของทีมต้องเติมเกมรุก โธมัส ทูเคิ่ล อาจจะต้องยอมเอา รีซ เจมส์ ที่มีความเร็วและความแข็งแกร่งเพื่อมาจัดการตรงนี้ ส่วนตำแหน่งริมเส้นก็ขยับเอา เซซาร์ อัซปลิกวยต้า มาทำหน้าที่หลังจากเกมแรกโดนจับไปเล่นทางซ้าย
อาจจะต้องคิดหนักเพราะทีมเองก็ต้องการพลังในการเล่นเกมรุกของ เจมส์ เช่นกัน แต่หากปล่อยไว้แบบเดิมแล้งทีมเสียประตูก่อนกำลังใจคงหายไปเยอะเลย
การผสมผสานในแดนกลาง
คู่มิดฟิลด์ถือเป็นอีกหนึ่งจุดสำคัญว่าทีมจะสามารถครองเกมได้ดีหรือไม่ และเกมแรกการจับคู่ระหว่าง จอร์จินโญ่ กับ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ นั้นไม่ดีเท่าไร
เกมแรกที่ลอนดอนหลังจบ 45 นาทีแรกของเกมเมื่อ เรอัล มาดริด นำอยู่ 2-1 โธมัส ทูเคิ่ล เปลี่ยนจุดที่มีปัญหาในทันทีทั้งในรายของ อันเดรียส คริสเตนเซ่น รวมถึงในรายของ ก็องเต้ โดยส่ง มาเตโอ โควาซิช ลงมาประสานงานกับ จอร์จินโญ่ ส่วนอีกคนที่ลงมาเป็น ฮาคิม ซิเย็ค เพื่อเล่นเกมรุกเต็มที่
แต่หลังจากนั้น จอร์จินโญ่ ก็โดนถอดออกเช่นกัน แสดงให้เห็นว่าทั้งตัวจริงดูจะทำผลงานได้ไม่เข้าเป้าสักเท่าไร
เกมล่าสุดในพรีเมียร์ลีกกับทีม "นักบุญ" นายใหญ่ชาวเยอรมันเลือกใช้ ก็องเต้ กับ โควาซิช ซึ่งทั้งคู่คุมเกมแบบอยู่หมัดเลย โดยช่วยกันเข้าสกัด 13 ครั้งและเก็บบอลได้ 16 หน
ในอีกแง่หนึ่ง ก็องเต้ คอยเก็บบอลปัดกวาด ในขณะที่ โควาซิช สามารถไปกับบอลได้ด้วยและอาจจะมีความสำคัญในการชนกับ เรอัล มาดริด ได้
เลือกวิง-แบ็ก
เกมแรกที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ทาง โธมัส ทูเคิ่ล ใช้ รีซ เจมส์ กับ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เล่นเป็นวิง-แบ็กทั้งขวา-ซ้าย ซึ่งดูจะไม่ได้ผลสักเท่าไร
เจมส์ ถูกโจมตีและหลุดตำแหน่งบ่อยครั้งจนทำให้ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ต้องรับมือกับ วินิซิอุส เพียงลำพัง ในขณะที่ อัซปิลิกวยต้า แม้จะเล่นทางซ้ายได้แต่ก็ไม่ได้ดีเหมือนทางขวาก แถมอายุก็มาแล้ว
ส่วนในเกมกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ทางนายใหญ่ชาวเยอรมันเลือก รูเบน ลอฟตัส-ชีค อยู่ทางขวา ส่วนทางซ้ายเป็น มาร์กอส อลอนโซ่ ซึ่งทั้งคู่ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยม
โดยเฉพาะทาง ลอฟตัส-ชีค ที่เก็บบอลได้ถึง 9 ครั้ง ชนะดวลตัวต่อตัว 12 หนและผ่านบอลไปข้างหน้าสำเร็จ 11 จาก 12 ครั้ง น่าจะเป็นประโยชน์กับทีมได้ในเกมนี้ ทั้งในเรื่องของความแข็งแกร่งและความเร็ว
ขณะที่ อลอนโซ่ ขึ้นชื่อเรื่องการเติมเกมรุกอยู่แล้วในเกมที่ทีมต้องการประตูแบบนี้ ประสบการณ์ของเขาจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยทีมได้อย่างไม่ต้องสงสัย
การผสมผสานในแนวรุก
คริสเตียน พูลิซิช, เมสัน เมาท์ และ ไค ฮาแวร์ตซ์ คือแนวรุกตัวจริงในเกมเลกแรก ส่วนในเกมล่าสุดกับ เซาธ์แฮมป์ตัน มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งเดียวโดยเอา ทิโม แวร์เนอร์ ลงมาแทน พูลิซิช
แม้ทาง แวร์เนอร์ จะโชว์ฟอร์มได้ดีที่เซนต์ แมร์รี่ แต่คาดว่าเกมยุโรปในวันอังคารนี้อาจจะหลุดไปเป็นตัวสำรองอีกครั้ง ส่วนในรายของ โรเมลู ลูกากู ก็คงไม่ได้ออกสตาร์ท
เกมเลกที่สองนี้ทาง เรอัล มาดริด น่าจะยื่นบล็อกต่ำเพื่อไม่มีเหตุผลที่จะต้องเปิดเกมแลกอะไร นั่นทำให้พื้นที่ว่างไม่มากนักและนักเตะอย่าง แวร์เนอร์ ต้องการเล่นแบบมีพื้นที่ให้วิ่งซึ่งทาง "นักบุญ" ยืนสูง
มีความเป็นไปได้ที่ โธมัส ทูเคิ่ล อาจจะใช้แนวรุกชุดเดิมจากความคล่องตัวและทักษะที่สามารถปลดล็อคแนวรับคู่แข่งได้
และหากไม่เป็นผลก็ยังมี ทิโม แวร์เนอร์ ที่พร้อมลงมาเป็นหมัดเด็ดสุดท้ายให้ทีมด้วยเช่นกัน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT
