เวมบลีย์ (อีกที) ของ เชลซี
นับเป็นครั้งที่สองในปีนี้แล้วหลังจากที่ทีมไปเหยียบเวมบลีย์ลงเล่นเกมชิงชนะเลิศ หลังจากที่เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ก็ลงเล่นเกมชิงถ้วยคาราบาว คัพมาแล้ว แต่พ่ายแพ้ให้กับ ลิเวอร์พูล ไปด้วยการดวลจุดโทษ
กระนั้นก็เป็นความสำเร็จที่ยอดเยี่ยมสำหรับพลพรรค "สิงห์บูล์" นับตั้งแต่การมาของ โธมัส ทูเคิ่ล ที่มักเข้ารอบลึกไปในฟุตบอลถ้วยอยู่เสมอ
มีความกังวลไม่น้อยเมื่อทีมเพิ่งผ่านเกมหนักกับ เรอัล มาดริด ในฟุตบอลยุโรปเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยต้องสู้กันถึง 120 นาที แถมสุดท้ายยังตกรอบ ส่งผลกระทบทั้งร่างกายและจิตใจ
"สิงห์บลูส์" ปรับ 3 ตำแหน่งจากเกมที่ซานติอาโก้ เบร์นาเบว โดย ติอาโก้ ซิลวา, เอ็นโกโล่ ก็องเต้ และ รูเบน ลอฟตัส-ชีค ถูกถอดออกเป็นตัวสำรองและเป็น อันเดรียส คริสเตนเซ่น, จอร์จินโญ่ และ เซซาร์ อัซปิลิเกวต้า ทำหน้าที่แทน
ไม่แปลกที่เกมนัดนี้ทาง เชลซี จะออกสตาร์ทแบบไม่วูบวาบเท่าไรนัก แม้ว่าเกมจะอยู่ในการครอบครองแต่จังหวะเข้าทำไม่ได้มีอะไรที่เป็นรูปธรรมชัดเจน แถมยังเสีย มาเตโอ โควาซิช ที่เจ็บไปอีกด้วยซึ่งทาง โธมัส ทูเคิ่ล เลือก รูเบน ลอฟตัส-ชีค
คริสตัล พาเลซ ที่รู้ว่าเป็นรองอาศัยการเล่นงานจากลูกตั้งเตะซึ่งก็ดูสร้างอันตรายได้เหมือนกัน แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
บ่อยครั้งในวงการฟุตบอลมักมีเรื่องให้ได้พูดถึงกันและเกมนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้นเมื่อ รูเบน ลอฟตัส-ชีค พังประตูให้ เชลซี ขึ้นนำ ซึ่งย้อนกลับไปเมื่อฤดูกาล 2017/18 เจ้าตัวเคยไปเล่นกับ พาเลซ ด้วยสัญญายืมตัว ซึ่งถือเป็นการตั้งหลักครั้งแรกอย่างเต็มตัวของมิดฟิลด์รายนี้เลย
แถมนี่ยังเป็นอีกโมเม้นต์ที่น่าจดจำของ ลอฟตัส-ชีค ด้วยหลังจากที่ยิงประตูให้ทีมไม่ได้มานาน 59 เกม กินระยะร่วม 3 ปีเลยทีเดียว
เมื่อได้ประตูขึ้นนำทุกอย่างก็ง่ายขึ้นก่อนที่ เมสัน เมาท์ จะมาบวกประตูอีกลูกให้ทีมขยับหนีสองประตู ก่อนจะเปลี่ยนพวกตัวหลักออกมาพักให้พวกสำรองอย่าง เอ็นโกโล่ ก็องเต้, ฮาคิม ซิเย็ค, โรเมลู ลูกากู และ ติอาโก้ ซิลวา ลงเล่น
เรื่องน่าเสียดายอย่างเดียวก็คือโอกาสของ ลูกากู จากจังหวะเปิดของ ทิโม แวร์เนอร์ ที่เข้าชาร์จชนเสา พลาดที่จะทำประตูเรียกความมั่นใจหลังเจอกับความกดดันถาโถมอย่างหนัก
ถึงยังไงมันก็เป็นเรื่องที่แฟนบอลต้องฉลองกับชัยชนะและเป็นอีกครั้งที่ทีมจะเข้าไปเล่นเกมชิงชนะเลิศบอลถ้วย
คนที่น่าจะตั้งความหวังสูงที่สุดหนีไม่พ้น เมสัน เมาท์ ที่ยังไม่เคยคว้าชัยชนะในเกมบอลถ้วยในประเทศเลย แถมผิดหวังในเกมชิงชนะเลิศมาแล้วถึง 5 ครั้งอีกด้วย
ในจำนวนนั้นมีเกมเพลย์ออฟเลื่อนชั้นสมัยยืมตัวไปเล่นกับ ดาร์บี้, เกมชิงถ้วยเอฟเอ คัพสองปีก่อนหน้าที่ทีมแพ้ไปหมด, เกมชิงชนะเลิศยูโร 2020 กับทีมชาติอังกฤษ และล่าสุดเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานี่เอง
"มันคือ 5 นัดชิงชนะเลิศแล้วที่ผมแพ้ ตอนนี้ถึงเวลาเอาคืนบ้างแล้ว" เมาท์ พูดเอาไว้หลังเกม
แม้ที่ผ่านมาจะมีเสียงค่อนขอดออกมาว่าสนาม "เวมบลีย์" หมดความขลังไปเยอะจากที่เก็บไว้สำหรับเกมชิงชนะเลิศเท่านั้น เด๊่ยวเกมรอบรองชนะเลิศก็เล่นเพราะทางเอฟเอ ต้องการเอาเงินเข้าสมาคมเพราะทุ่มทุนสร้างสนามไปเยอะ
แต่ถึงยังไงเกมชิงชนะเลิศก็คือชิงชนะเลิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับรายการที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่างเอฟเอ คัพ
หวังว่ามันจะเป็น "Third Time Lucky" ของ เชลซี ที่แพ้ อาร์เซน่อล กับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในช่วงสองปีก่อนหน้านี้นะ
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT