เชลซี ในแบบที่ควรจะเป็น
เพราะไม่ใช่แค่การเก็บชัยชนะในเกมฟุตบอลเท่านั้น ยังเป็นการชนะทีมใหญ่อย่าง "ปีศาจแดง-ดำ" แถมยังเป็นรายการใหญ่ที่สองเกมแรกทีมยังไม่ชนะอีกด้วย
จากประตูชัยในนาทีสุดท้ายกับ คริสตัล พาเลซ มาถึงสามแต้มอย่างสวยงามในเกมนี้ น่าจะเป็นนิมิตรหมายอันดีสำหรับ "สิงห์บลูส์" กับการเดินหน้าต่อในซีซั่นนี้
การจัดทีม
แกรม พ็อตเตอร์ เปลี่ยนทีม 2 ตำแหน่งในเกมนี้, จอร์จินโญ่ กับ ไค ฮาแวร์ตซ์ ไม่พร้อมจากอาการบาดเจ็บ แต่ก็นั่งเป็นตัวสำรองในเกมนี้ได้ เช่นเดียวกับ เอดูอาร์ เมนดี้ ที่หายกลับมา
เกปา อาร์รีซาบาลาก้า ยืนเฝ้าเสา กองหลัง กูลิบาลี่ ประสานงานกับ เวสยี่ล์ โฟฟาน่า และ ติอาโก้ ซิลวา โดยมี รีซ เจมส์ กับ เบน ชิลเวลล์ เป็นวิล-แบ็ก มิดฟิลด์ให้ รูเบน ลอฟตัส-ชีค จับคู่กับ มาเตโอ โควาซิช แนวรุก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ประสานงานกับ เมสัน เมาท์ โดยมี ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง ยืนหน้าเป้า
เริ่มต้นอย่างมีชีวิตชีวา
เชลซี เริ่มต้นการจังหวะการเล่นที่รวดเร็ว เช่นเดียวกับ เอซี มิลาน โดยทั้งสองทีมพยายามผ่านบอลด้วยความเร็วจากการไล่บีบเกมของฝ่ายตรงข้าม ซึ่งเจ้าบ้านพยายามผ่านบอลไปรอบเพื่อดึงคู่แข่งให้ออกจากพื้นที่
สเตฟาโน่ ปิโอลี่ เน้นให้บอลของ "ปีศาจแดง-ดำ" ไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วมากกว่า โดยโอกาสแรกเป็นของเจ้าถิ่นที่จังหวะที่ มาเตโอ โควาซิช จ่ายบอลไปข้างอย่างรวดเร็วให้ ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง ต่อให้ เมสัน เมาท์ ได้สับไกนอกกรอบแต่ไม่ผ่าน ซิเปรียน ตาตารูซานู
ความสุขและความเจ็บปวดของ โฟฟาน่า
ติอาโก้ ซิลวา ออกสตาร์ทได้อย่างโดดเด่นในการเจอกับทีมเก่าในจังหวะที่นอกจากคอยสกัดบอลที่เข้ามาหวังทำประตู ยังจังหวะโหม่งทำประตูถึง 3 หนติดต่อกัน และมันก็นำมาซึ่งประตูขึ้นนำของทีมจนได้ในนาทีที่ 24 ที่เซนเตอร์บราซิลเลี่ยนโหม่งติดเซฟ ซิเปรียน ตาตารูซานู บอลชุลมุนหน้าประตูมาเข้าเท้า เวสลี่ย์ โฟฟาน่า ได้ยิงเข้าไปให้ทีมนำ 1-0 ถือเป็นประตูแรกของเจ้าตัวให้กับทีมใหม่ด้วย
อย่างไรก็ตามจากที่น่าจะเป็นวันของ โฟฟาน่า เจ้าตัวกลับบาดเจ็บซึ่งออกอาการให้เห็นชัดเจนตั้งแต่โดน ราฟาเอล เลเอา ทำฟาวล์ แม้พยายามสู้แล้วแต่สุดท้ายไปต่อไม่ไหว ต้องให้ เทรโวห์ ชาโลบาห์ ลงสนามแทน
รอดพ้นจากการเสียประตู
"สิงห์บลูส์" มีโอกาสที่จะได้ประตูเพิ่มก่อนพักครึ่งแรกจาก ราฮีม สเตอร์ลิ่ง แต่จังหวะสุดท้ายกลับตัดสินใจไม่เด็ดขาด จนโดน ปิแอร์ กาลูลู มาตัดไปได้ก่อนในวินาทีสุดท้าย
และในช่วงทดเจ็บครึ่งแรก เอซี มิลาน น่าจะตีเสมอได้อย่างที่สุดเมื่อ ราฟาเอล เลเอา พาบอลลุยจากทางซ้ายเข้าเขตโทษก่อนไหลให้ ชาร์ลส์ เด เคเตลาเร่ ได้ยิงติด เกปา บอลเข้าทาง ราเด้ ครูนิช ได้ยิงจ่อๆแต่ เบน ชิลเวลล์ แยห่เท้าสกัดในวินาทีสุดท้ายบอลข้ามคานออกไปหวุดหวิด
ไหลไปตามเกม
การรอดพ้นการเสียประตูในช่วงท้ายครึ่งแรกทำให้ทีมเดินลงสู่สนามใน 45 นาทีที่เหลือพร้อมประตูที่ยังนำอยู่ นั่นทำให้ทีมเล่นได้อย่างขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัย
และหลังผ่าน 10 นาทีของครึ่งหลังทีมก็มาบวกประตูเพิ่มจนได้เมื่อ เบน ชิลเวลล์ เปิดบอลจากทางซ้ายลึกไปเสาสองหลุดมาอีกฝั่ง รีซ เจมส์ เก็บได้ก่อนเปิดมาหน้าประตู ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง ชาร์จเข้าประตูไปเป็น 2-0
ต้องบอกว่าประตูที่ฝั่ง มิลาน เสียกันง่ายๆ เหมือนนักเตะแต่ละคนไม่กระตือรือร้นที่จะช่วยกันเลย เสาแรกมีแค่ ฟิคาโย่ โทโมรี่ คนเดียว ส่วนที่เหลือไปอยู่รวมกันหมดทั้งที่แทบไม่มีผู้เล่น เชลซี เลย
และหลังจากนั้นไม่เท่าไรสกอร์ก็มาขยับเป็น 3-0 เลยจังหวะที่ "สิงห์บลูส์" ตัดบอลได้ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง ได้บอลไหลเข้าเขตโทษด้านขวา รีซ เจมส์ ที่เติมขึ้นมายิงแสกหน้า ซิเปรียน ตาตารูซานู ตุงตาข่ายเป็นประตูปิดท้าย
ถือเป็นการเก็บชัยชนะในเกมที่ต้องการเพราะนี่คือคู่แข่งที่ถูกยกให้แกร่งที่สุดในกลุ่มที่จะแย่งอันดับ 1 กัน น่าเสียดายที่สองเกมแรกทีมไปพลาดเก็บได้แค่คะแนนเดียวเท่านั้น
เกมถัดไป
เชลซี จะเปิดบ้านเจอกับ วูล์ฟแฮมป์ตัน ในวันเสาร์ที่ 8 ตุลาคมนี้ ตามด้วยการไปเยือน เอซี มิลาน ในเกมนัดที่ 4 ของ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในวันอังคารหน้า
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT