เกมแรกก็โดนซะแล้ว

ไม่ใช่ว่าดูถูก วูล์ฟแฮมป์ตัน แต่อย่างแย่ทีมระดับ "สิงห์บลูส์" ยังไงก็ควรจะได้อะไรติดมือกลับบ้านบ้าง เมื่อมองจากผลงานคู่แข่งที่ไม่ชนะใครใน 3 เกมหลังและโดนเจาะตาข่ายไป 7 ลูก

แม้แต่ ลีดส์ ยูไนเต็ด ยังบุกมายิงที่นี่ได้ถึง 4 ประตู แต่ทีมที่ทุ่มเงินไป 600 ล้านปอนด์เสริมทีมในฤดูกาลนี้กลับยิงไม่ได้แม้แต่ลูกเดีย แถมเกมที่รออยู่ถัดไปคือการเจอกับ เรอัล มาดริด ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้าย นัดแรกด้วย แค่คิดก็เหนื่อยแทนแล้ว

ในฐานะของคนที่เป็นแฟนสิงห์ก็คงทำได้แค่ให้กำลังใจกันต่อไป

การจัดทีม

แฟร้งค์ แลมพาร์ด ปรับทัพ 2 ตำแหน่งจากทีมชุดล่าสุดที่เปิดบ้านเสมอกับ ลิเวอร์พูล 0-0 ก่อนที่จะเข้ามารับตำแหน่ง โดย คอเนอร์ กัลลาเกอร์ กับ ราฮัม สเตอร์ลิ่ง ได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงแทน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ กับ เบน ชิลเวลล์

ระบบการเล่นก็มีการเปลี่ยนจาก 3-5-2 มาเป็น 4-3-3 เหมือนเมื่อครั้งที่ตัวเองคุมทีมครั้งก่อนหน้านี้

ผู้รักษาประตูเป็น อาร์รีซาบาลาก้า กองหลังมี รีซ เจมส์, เวสเล่ย์ โฟฟาน่าม กาลิดู กูลิบาลี่ และ มาร์ก กูกูเรย่า กองกลาง คอเนอร์ กัลลาเกอร์, เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ และ มาเตโอ โควาซิช ทำหน้าที่ แนวรุกเป็น ราฮีม สเตอร์ลิ่ง, ไค ฮาแวร์ตซ์ และ ชูเอา เฟลิกซ์

เปิดฉากด้วยความคึกคัก

การเปลี่ยนผู้จัดการทีมหลายครั้งหลายหนสร้างความตื่นตัวให้กับนักเตะในการเค้นผลการออกมาอยู่เสมอเนื่องจากกลัวว่าฟอร์มจะไม่ปรับทับใจเจ้านายคนใหม่และจะไม่ได้ลงสนาม

แน่นอนว่ากับ เชลซี ก็เช่นกันตั้งแต่สิ้นเสียงนกหวีดแรกทีมก็วิ่งบี้เข้าใส่คู่แข่งทันที แต่อีกครั้งที่เกมรุกของทีมก็ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันจากโอกาสที่สร้างขึ้นมา

เรียกได้ว่าดูคึกคักและวิ่งบีบพื้นที่อยู่แค่ไม่เท่าไร จากนั้นก็เข้าสู่เกมตามแผนที่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด วางเอาไว้ ซึ่งดูเหมือนว่าจะเน้นความแน่นอนเอาไว้ก่อน คงไม่อยากจะพลาดตั้งแต่กลับมาเกมแรก

แต่ว่ามันกลายเป็นเจ้าบ้านที่ดูจะบุกแล้วมีอะไรกกว่าแม้ว่าในภาพรวมของการครองบอลจะเป็นรองก็ตาม

โดนเจาะจนได้

เกมที่แทบจะบุกไม่ขึ้นของ เชลซี สุดท้ายก็มาเจอทีเด็ดของเจ้าบ้านหลังผ่านครึ่งชั่วโมงแรกของเกมจากจังหวะเปิดเข้าเขตโทษ กาลิดู กูลิบาลี่ โหม่งบอลเลยไปเขตโทษด้านขวา มาเธอุส นูเนส รอจังหวะตั้งป้อมแล้วซัดด้วยขวาบอลพุ่งเสียบตาข่ายเสาสองอย่างสวยงาม

ลูกนี้ต้องบอกว่า เกปา อาร์รีซาบาลาก้า หมดสิทธิ์อยู่แล้ว แต่ทาง มาร์ก กูกูเรย่า ที่ตามไปยังมีพื้นที่และเวลามากพอที่จะชิดได้มากกว่านี้ไม่ใช่ปล่อยให้คู่แข่งได้ยิงง่ายเกินไปโดยไม่กดดันเลย

"สิงห์บลูส์" ควรจะโดนเจาะประตูที่สองด้วยจากจังหวะได้บอลส้มหล่นของ ดีเอโก้ คอสต้า โชคดีที่ เกปา มาปิดมุมได้เร็วไม่งั้นคงเสียหายมากกว่านี้

การยิงเข้ากรอบหนแรกในเกมนี้ของ เชลซี ต้องรอถึงนาทีที่ 42 จากการยิงนอกกรอบของ ชูเอา เฟลิก แต่บอลก็ไปตรง โชเซ่ ซา รับเข้ามือไปได้แบบไม่ยาก

พยายามบุกเข้าใส่

เข้าสู่ครึ่งหลังเป็น เชลซี ที่เดินหน้าบุกเข้าใส่อย่างหนัก แต่ต้องยอมรับว่าโอกาสที่สร้างขึ้นนั้นไม่ได้สร้างความอันตรายให้คู่แข่งเลย จังหวะยิงที่ดูจากสถิติเหมือนจะเยอะแต่แทบจะเป็นการยิงจากนอกกรอบทุกครั้ง และเกือบทั้งหมดลงเอยด้วยการติดบล็อค

หลังหนึ่งชั่วโมง แฟร้งค์ แลมพาร์ด เปลี่ยน ไค ฮาแวร์ตซ์ ออกแล้วส่ง คริสเตียน พูลิซิช ลงมาโดยขยับเอา ชูเอา เฟลิกซ์ อยู่ตรงกลางมากขึ้น 

ถึงกระนั้นเกมก็ยังไม่ได้ลุ้นอะไรจนต้องเปลี่ยนเพิ่มอีก 3 คนทั้ง ปิแอร์-เอเมอริก โอบาเมย็อง, มิไคโล มูดริค และ เบน ชิลเวลล์ ลงเล่นแทน ชูเอา เฟิกซ์, ราฮีม สเตอร์ลิ่ง และ มาร์ก กูกูเรย่า

การมี โอบาเมย็อง ลงมาแล้วอยู่ในเขตโทษเป็นหลักก็ทำให้ลูกเปิดของ รีซ เจมส์ จะได้มีคนคอยเข้าทำ และก็ได้ลุ้นจากลูกโหม่งแต่ไม่เข้ากรอบ

โอกาสสุดท้ายในช่วงทดเจ็บจากลูกยิงของ เบน ชิลเวลล์ ก็ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น สุดท้ายทีมประเดิมเกมแรกภายใต้การคุมทีมของ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ด้วยมือเปล่าไป

เกมถัดไป

เชลซี มีโปรแกรมให้กับการไปเยือน ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ของ เรอัล มาดริด ในเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 8 ทีมสุดท้ายนัดแรก ในวันพุธนี้

ข่าวดีคือ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ น่าจะฟิตสมบูรณ์พร้อมลงสนาม ในขณะที่ เมสัน เมาท์ ที่หายหน้าไปจากเกมนี้ก็น่าจะมีส่วนร่วมได้

ตอนนี้สาวกสิงโตน้ำเงินคงแอบหวังว่าสุดท้าย แฟร้งค์ แลมพาร์ด จะทำได้แบบ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ พาทีมไปถึงแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปได้ ก็รอติดตามกันต่อไป