:::     :::

ฟลอร็องต์ มาลูด้า : เลือด-เหงื่อ-น้ำตา

วันศุกร์ที่ 08 กันยายน 2566 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
728
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ก่อนที่จะไปถึงการเจอกับ บาเยิร์น มิวนิค ในเกม "เลเจนด์ส ออฟ ยุโรป" ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ ในวันเสาร์นี้ - ฟลอร็องต์ มาลูด้า อดีตแข้งของ เชลซี เผยถึงบทสนทนาที่ยากลำบากก่อนเกมชิงชนะเลิศยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ย้อนกลับไปเมื่อปี 2012 และแรงผักดันที่ทำให้สโมสรคว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ

อดีตสตาร์ทีมชาติฝรั่งเศส จะเป็นหนึ่งในนักเตะชุดดังกล่าวที่จะกลับมาอยู่ในสังเวียนเก่าอีกครั้ง มันเป็นการฉลองค่ำคืนอันโด่งดังที่มิวนิคกับการคว้าแชมป์ยุโรปครั้งแรกของสโมสร และเป็นการรำลึกถึง จานลูก้า วิอัลลี่ ผู้ล่วงลับ ซึ่งมีอิทธิพลอย่างสูงกับสโมสรทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีม

อีกเรื่องที่ดีก็คือการที่นักเตะชุดดังกล่าวจะได้กลับมาเจอกันอีกครั้ง ซึ่งทาง มาลูก้า เผยว่ามีโอกาสน้อยกว่าที่สมาชิกกุล่มดังกล่าวจะได้มารวมตัวอีกครั้งเพื่อนึกถึงช่วงเวลาอันรุ่งโรงจ์

"เรามีโอกาสไม่มากนักที่จะได้รวมตัวกัน และความจริงที่ว่ามันเป็นเกมกับ บาเยิร์น มิวนิค ด้วย... สำหรับเรามันเป็นอะไรที่พิเศษ ผมคิดว่าเราคงมีช่วงเวลาที่ดี เกมสุดท้ายของตำนาน เชลซี คือการเจอ เรอัล มาดริด นั่นคือโอกาสสุดท้ายที่เราได้อยู่ด้วยกันและเล่นในเสื้อตัวเดียวกัน" มาลูก้า กล่าว


"มันหายากนับตั้งแต่เกมชิงชนะเลิศนั้น เราไม่รู้เลยว่ามันจะเกิดขึ้นอีกเมื่อไหร่ มันทำให้คุณตระหนักว่าคุณอยากใช้ประโยชน์สูงสุดจากมันและเพลิดเพลินไปกับทุกวินาที มันเป็นช่วงเวลาที่พิเศษสำหรับเรา - และนั่นคือเมื่อคุณตระหนักได้ว่ายุคนั้นพิเศษแค่ไหน ผมแทบรอไม่ไหวที่จะได้ไปที่นั่นที่ เดอะ บริดจ์ แล้ว"

ความสำเร็จในปี 2012 ไม่ได้เกิดขึ้นมาโดยง่ายเพราะทีมผ่านอะไรมามากมายทั้งความพ่ายแพ้ให้กับ บาร์เซโลน่า และ ลิเวอร์พูล ก่อนหน้านี้ บวกกับการแพ้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในการเข้าชิงชนะเลิศของสโมสร แต่ความผิดหวังเหล่านั้นกลายเป็นรากฐานไผสู่ความสำเร็จครั้งแรกในรายการใหญ่ของยุโรป

"เช้าวันก่อนเกมการแข่งขันผ่านไปเร็วมาก เราไม่มีเวลามากพอที่จะคิดถึงสถานการณ์ต่างๆ เราแค่ต้องพร้อมสำหรับมัน เราเหมือนกับทหารหน่าวยหนึ่ง เรามาเมื่อปฎิบัติภารกิจ มันเป็ยเกมสุดท้ายด้วยกันของเรา ดังนั้นลุยกันเลย ผ่านสายเลือด หงาดเหงื่อ และน้ำตา ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ตาม นั่นคือเหตุผลที่วันนั้นผ่านไปเร็วมาก โฟกัสอย่างเต็มที่ ทุกอย่างสมบูรณ์แบบในวันนั้น"

"ทีมนั้นถูกสร้างมาเพื่อแชมเปี้ยนส์ ลีก นั่นคือโปรเจ็คท์อย่างแท้จริงมาตั้งแต่ปี 2004 ทีมนี้ออกแบบมาเพื่อเก็บชัยชนะในครั้งนี้ ผมจำฤดูกาลแรกของผมกับ เชลซี ได้ เราใกล้เคียงมากเมื่อเราแพ้จุดโทษที่ มอสโก มันเป็นเรื่องที่เจ็บปวดอย่างมาก"


"จากทุกอย่างที่เกิดขึ้นในช่วงหลายปีที่ผ่านมา เราตระหนักว่ามันยากแค่ไหนที่จะเข้าใกล้ถ้วยรางวัลและได้ชูมันด้วยสองแขน ดังนั้นในปี 2012 มันค่อนข้างแปลก เพราะในเกมกับ นาโปลี มันเหมือนกับเราใส่ทุกอย่างที่มีอย่างไม่คิดชีวิต"

"ทุกอย่างมันหนักและยากมาก เราต้องพลิกสถานการณ์ มันเหมือนกับว่าทุกอย่างขวางเราไปหมด เรากำลังฝ่ากำแพงอิฐและผ่านมันไป เราเป็นรองตั้งแต่เกมกับ นาโปลี ทุกคนกาชื่อเราทิ่งแต่สปิริตในทีมมันสะสมมาในแต่ละปี เรามีความเชื่อมั่นอนู่ภายใต แต่ผมไม่คิดว่าจะมีใครเชื่อ!"

"นั่นคือสิ่งที่พิเศษมากๆ ผู้เล่นมากประสบการณ์หรือผู้เล่นอายุน้อย มีบางอย่างเชื่อมเราไว้ด้วยกันผ่านความแตกต่าง มีนักเตะหลายแบบในทีมในทีมนั้น แต่เราทุกคนมีความเชื่อ ทีมเรามีโอกาสแค่เราคว้ามันไว้ให้ได้ อันที่จริงแล้วผมไม่สามารถเขียนเรื่องราวที่ดีกว่านี้ได้อีกแล้วในเกมชิงชนะเลิศ"

หลังชัยชนะนั้นการเปลี่ยนแปลงมาเยือน เชลซี และนั่นหมายถึงผู้เล่นหลายคนที่มิวนิคลงเล่นกับสโมสรเป็นครั้งสุดท้ายเช่นเดียวกับ มาลูด้า ที่มีรายงานว่าเจ้าตัวขอย้ายทีม แต่ไม่มีสโมสรไหนที่ยื่นข้อเสนอค่าเหนื่อยได้เท่ากับที่รับอยู่ตอนนั้น ทำให้ตัดสินใจไม่ย้ายและโดนสโมสรตัดชื่อออกจากทีมในการแข่งขันทุกรายการและถูกส่งไปเล่นกับทีมชุดยู-21 

"ไม่ได้คาดคิดว่ามันจะเป็นเกมสุดท้าย ผมคิดอย่างจริงจังว่าจะได้เล่นกับสโมสรอีกปีในสัญญาปีสุดท้าย ผมแค่สนุกกับมันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามีเกมชิงชนะเลิศเอฟเอ คัพ ซึ่งเราก็คว้าแชมป์ด้วยเช่นกัน เรามีเรื่องต่างๆ มากมายจะไม่ว่าเรื่องไหนก็ตาม รวมถึงเรื่องของผมด้วยไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลจริงๆ"


"ผมรู้ว่าสำหรับนักเตะนี่อาจจะเป็นหนึ่งในฤดูกาลสุดท้ายที่เราจะได้ใช้เวลาร่วมกัน มีการต่อสัญญาเกิดขึ้น และเรารู้ว่าบางคนจะย้ายออกไป เราแค่สนุกกับสิ่งที่เกิดขึ้นเพราะเรารู้ว่าผู้คนจะจากไปเมื่อจบฤดูกาล ผมแค่ไม่รู้ว่าผมจะเป็นหนึ่งในนั้นด้วย!"

"เมื่อมองย้อนกลับไปในตอนนี้ เมื่อผมดูเสื้อของผมจากนัดชิงชนะเลิศยิ่งทำให้มันพิเศษมาก เพราะมันเป็นเสื้อตัวสุดท้ายที่ผมใส่ให้กับ เชลซี ทุกครั้งที่ผมทองย้อนกลับไปที่ภายชุดแข่งนั้น มันทำให้พิเศษมากยิ่งขึ้น มันเหมือนกับว่าเรื่องราวนั้นสมบูรณ์แล้ว"

มาลูด้า ได้รับบาดเจ็บในเกมสุดท้ายของฤดูกาลนั้นกับ แบล็คเบิร์น จนเกิดความกังวลว่าจะมีส่วนร่วมกับเกมชิงชนะเลิศทั้งสองรายการ ซึ่งเจ้าตัวไม่ใช่นักเตะคนเดียวที่อยู่ในสภาพนั้นจากการที่ทีมต้องกรำศึกอย่างหนัก

"มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนเกมจากเจ้านายที่ผมลงสนามในตอนนั้นเพราะผมได้รับบาดเจ็บ ผมคิดว่ามีนักเตะเจ็บ 4 คน แต่สองคนในนั้นคือ แกรี่ เคฮิลล์ และ ดาวิด ลุยซ์ ที่เป็นขาประจำ เรามีนักเตะที่เจ็บเอ็นร้อยหวายเยอะมาก!"

"เมื่อผมพูดว่า 'เลือด, เหงื่อ และ น้ำตา' มันคือส่วนหนึ่งของสิ่งที่ผมเป็น เพราะผมบาดเจ็บจริงๆ แต่คุณคิดถึงเหรียญแชมป์และแม้ว่าคุณต้องทำร้ายตัวเอง แตมันก็คุ้มค่า"


"คืนก่อนเกมผมพูดกับเจ้านายอย่างตรงไปตรงมา ผมบอกกับเขาว่าผมไม่คิดว่าจะได้เล่นทั้งสองเกม รวมถึงช่วงต่อเวลาพิเศษด้วย เขาจึงรู้ว่าผมจะลงสนามได้มาก-น้อยแค่ไหน ผมแฮปปี้ที่ได้พูดตรงๆ กับ โรแบร์โต้ (ดิ มัตเตโอ) และเขาก็เชื่อใจผม เพราะแม้จะถูกส่งลงเล่นมันก็คือความรับผิดชอบครั้งใหญ่เช่นกัน"

"ผมไม่เคยคิดที่จะบอกว่าตัวเองพร้อมและสามารถลงเล่นได้ มันชัดเจนสำหรับผม ผมบอกเขาถ้ามีใครฟิตผมอยากให้พวกเขาได้ลงเล่น ผมต้องการลงเล่น แน่นอนอยู่แล้วและอีโก้ของคุณต้องการที่จะออกสตาร์ทตัวจริง แต่บางทีผมต้องถอยออกมา"

"ผมพยายามให้ข้อมูลเชิงลึกกับเขาเพื่อให้เขาตัดสินใจ นั่นเป็นวิธีที่ดีที่สุดในช่วยและสนับสนุนผู้จัดการทีม เขาจะเป็นต้องตัดสินใจ ดังนั้นผมต้องพูดตามตรง มันเป็นเรื่องของความไว้ใจ ผมเชื่อใจเพื่อนร่วมทีมอย่าง ไรอัน เบอร์ทรานด์ มี่ได้ออกสตาร์ทแทนตำแหน่งของผม สำหรับผมแล้วไม่ว่าจะเป็นผมหรือใครมันไม่สำคัญ เราต้องได้แชมป์ มันเป็นค่ำคืนที่สวยงาม เรื่องราวที่สวยงาม"

ทั้งหมดอธิบายฉากการเฉลิมฉลองอันน่าตื่นเต้นที่เกิดขึ้นหลังชัยชนะในการดวลจุดโทษของ เชลซี และมันคือความทรงจำแห่งความสุขสำหรับ มาลูด้า และแฟนบอลของสโมสร


"ก่อนอื่น ผมนึกภาพของความรู้สึกของการถือถ้วยรางวัลนั้น เพราะตั้งแต่ผมเป็นเด็ก ผมเห็นถ้วยรางวัลนี้ผ่านทางตู้กระจกเสมอ แต่กับการได้ถือว่ามันสองมือ ได้จูบมัน ได้ชูมัน - มันเป็นสิทธิพิเศษอย่างแท้จริง หลังจากนั้นก็เป็นงานฉลอง เราสนุกสนามกัยช่วงเวลาในสนามกับโทรฟี่นั้น"

"ทุกคนใช้เวลากันมัน ผมคิดว่าเราน่าจะกลับถึงโรงแรมตอนตี 2 เพราะเราใช้เวลาเกือบทั้งหมดในสนามเพื่อฉลอง การได้เห็นนักเตะทำตัวเหมือนเด็กเพราะเรามีถ้วยแชมป์นั้น มันคือความทรงจำของผม"

"ผมยังมีความทรงจำเกี่ยวกับ ดิดิเยร์ ดร็อกบา, อะไรที่ทำให้คนอย่างเขามีทัศนคติแบบนั้นที่จะสนุกสนานและถือถ้วยรางวัลไปรอบๆเหมือนกับเด็กได้ของเล่นใหม่"

"เรานอนกันไม่หลับเท่าไรนัก มันเป็นเหตุผลว่าทำไมทุกคนถึงสวมแว่นกันแดดและหมวกในขบวนพาเหรดในวันรุ่งขึ้นเพราะตาของเราโหลมาก! จากนั้นก็ขึ้นรถบัสที่ลอนดอน สตรีท มันสุดยอดมาก! ทุกอย่างดำเนินไปอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะเดียวกัน ผมมีความสุขกับมันทุกวินาที"



คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด