กว่าจะมาเป็น เอียน มาตเซ่น
เมื่อครั้งที่ เอียน มาตเซ่น ลงประเดิมสนามให้ เชลซี เป็นครั้งแรกเมื่อ 4 ปีที่แล้ว ถือเป็นการเติมเต็มเป้าหมายที่เขาตั้งเอาไว้กับตัวเอง ตอนย้ายมาค้าแข้งใน อังกฤษ
"ตอนที่ผมอายุ 17 ปี ผมหวังว่าจะได้ลงสนามให้กับทีมชุดใหญ่ของ เชลซี ครั้งแรก" มาตเซ่น กล่าวเอาไว้หลังเข้าร่วมทีมเยาวชนเมื่อซัมเมอร์ 2018 โดยในตอนนั้นเขาอายุ 16 ปี ซึ่งมีแข้งอะคาเดมี่ไม่กี่คน ที่กล้าฝันสูงแบบเขา
"ผมตระหนักว่าคุณต้องอยู่กับความจริง แต่ถ้ามีโอกาส ผมก็หวังว่าจะได้ลงเล่นเร็ว ๆ นี้ ผมเฝ้าภาวนาอยู่ทุกวันและผมก็เชื่อมั่นในตัวเอง"
ความเชื่อมั่นในตัวเองของเขามาออกผลในเดือนกันยายน 2019 เมื่อ แฟรงค์ แลมพาร์ด ส่งเขาลงเป็นตัวสำรองในศึก คาราบาว คัพ ที่เจอกับ กริมส์บี้ ทาวน์
ในขณะที่อีก 6 เดือนก่อนจะอายุครบ 18 ปี, มาตเซ่น ลงสนาม 25 นาทีในเกมที่ทีมเอาชนะคู่แข่ง 7-1 โดย รีซ เจมส์, ติโน่ อันโยริน และ มาร์ค เกฮี ต่างได้ประเดิมสนามให้ เชลซี เช่นกัน
"ช่วงเวลานั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผมคิดอยู่ในหัวว่าอยากลงเล่นที่นี่ อยากเล่นให้กับสโมสรแห่งนี้ บางครั้งมันก็เป็นเรื่องยากที่จะยอมรับ แบบว่าบางทีผมอาจจะยังไม่พร้อมด้วยอายุเท่านั้น และผมจำเป็นต้องพัฒนาตัวเอง"
"ผมต้องการแสดงให้เห็นในระดับสูงว่าผมสามารถลงเล่นให้สโมสรแห่งนี้ได้ และผมก็ทำแบบนั้น"
หลังการประเดิมสนามใน คาราบาว คัพ ค่ำคืนนั้น, มาตเซ่น ขีดเครื่องหมายสำหรับขั้นต่อไปของการพัฒนาฝีเท้า นั่นคือการย้ายออกไปเล่นแบบยืมตัว
ตลอดระยะเวลา 3 ปีหลังจากนั้น เขาค่อยๆ ยกระดับตัวเอง เริ่มจากการเล่นใน ลีก วัน กับ ชาร์ลตัน แอธเลติก ต่อด้วยการเล่นในแชมเปี้ยนชิพกับ โคเวนทรี ซิตี้ และคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปีให้กับ เบิร์นลี่ย์ ที่ได้เลื่อนชั้นขึ้นมาเมื่อซีซั่นที่แล้ว
"มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะสมในการเล่นที่นี่ แต่ก็มีโอกาสให้ย้ายไปเล่นที่อื่นและพัฒนา ปรับตัวให้ดีกว่าเดิมและเรียนรู้เกี่ยวกับเกมให้มากขึ้น ผมทำมันและมันก็ได้ผลจริงๆ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา"
"คุณสามารถบอกได้เลย ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงตอนนี้มีหลายอย่างในเกมของผมที่พัฒนาขึ้น รวมถึงเรื่องนอกสนามด้วย ตอนนี้ผมเติบโตมากขึ้น ผมตัดสินใจได้ดีขึ้นทั้งในและนอกสนาม และผมก็รู้จริงๆ ว่าอะไรที่ผมต้องการยอมรับจากตัวเอง และมาตรฐานคืออะไรเช่นเดียวกัน"
เป็นเรื่อง่ายที่จะอยู่ในความคิดแบบโบราณเมื่อพูดถึงนักฟุตบอลชาวดัตช์ที่มีความสามารถหลากหลาย แต่ มาตเซ่น โชว์ผลงานโดดเด่นในหลายตำแหน่ง โดย จิม เฟรเซอร์ หัวหน้าฝ่ายพัฒนาเยาวชนและการเสริมทัพ เล่าถึงเรื่องนี้
"เอียน เป็นนักเตะที่เราระบุไว้ในตอนแรกให้เล่นเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง ตอนที่เขาเข้าไปติดทีมชาติรุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี" เฟรเซอร์ อธิบาย "เรามองหาแบ็คซ้ายเป็นตำแหน่งสำคัญอันดับแรก และเมื่อเราติดตามเขาไปเรื่อยๆ เขาก็เล่นทั้งเซนเตอร์แบ็ก รวมทั้งแบ็กซ้ายให้กับทีมชาติ"
"เรารู้สึกว่าเขามีพรสวรรค์ที่หลากหลาย ความมั่นใจในตำแหน่งของผมในการที่จะบอกกับสโมสรว่า 'ดูสิ เราเจอนักเตะคนหนึ่งที่เล่นได้ทั้งมิดฟิลด์ตัวกลาง, แบ็กซ้าย หรือว่าวิง-แบ็กซ้าย แล้วเขาก็เคยเล่นเป็นเซนเตอร์แบ็คด้วย' เราไม่ได้นึกภาพว่าเขาจะให้เขาเล่นเซนเตอร์แบ็กที่นี่ เพราะความหนักหน่วงของเกมในประเทศอังกฤษ แต่การที่เขาสามารถยืนทางฝั่งซ้ายของแผงหลัง 3 คน ถือว่าสำคัญกับเรามากๆ"
"เขาย้ายไปเล่นแบบยืมตัว 3 ครั้ง และลงเล่นเกมระดับอาชีพกว่า 120 นัด ในหลายๆ ตำแหน่ง พอมานึกย้อนถึงสิ่งที่เขาทำตอนที่เราระบุตัวตนของเขาในวัย 14 ปี และตอนนี้เขาก้าวขึ้นมาติดทีมชุดใหญ่ในฐานะเบอร์ 10 และปีก... ผมคิดว่าสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นนักฟุตบอลที่มีพรสวรรค์มากแค่ไหน"
ในแต่ละซัมเมอร์ มาตเซ่น ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคต โดยหลังจากการยืมตัวครั้งแรกที่ ชาร์ลตัน เขารู้สึกว่าพร้อมจะขึ้นไปเล่นอีกระดับ ซึ่งเขาทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่งในบทบาทวิง-แบ็กกับ โคเวนทรี
แต่ในซัมเมอร์ถัดมา เขาได้รับข้อเสนอจากหลายสโมสร และตัดสินใจย้ายไปเล่น เบิร์นลี่ย์ ที่เพิ่งตกชั้นจากพรีเมียร์ลีกแบบยืมตัว
"ผมสามารถไปที่อื่นได้ แต่ผมต้องการเล่นในแชมเปี้ยนชิพอีก 1 ปี กับทีมที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและมีความคาดหวังที่แตกต่างออกไป สำหรับพวกเขาสิ่งที่สำคัญคือการกลับขึ้นมาสู่พรีเมียร์ลีกให้ได้ทันที ดังนั้นความกดดันมันจึงไม่เหมือนกัน"
"ผมต้องการรับมือกับเรื่องนี้และพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบาก ที่มีทั้งความกดดันจากความคาดหวัง รวมทั้งสื่อและเรื่องอื่นๆ ด้วย"
แว็งซองต์ ก็องปานี คือผู้จัดการทีมของเขาที่ เทิร์ฟ มัวร์ โดยแนวทางที่โค้ชรายนี้มีกับเกม รวมทั้งความเข้าใจและเข้มข้นกับการกระตุ้นได้สร้างผลกระทบต่อ มาตเซ่น ไม่น้อย
"เขาใส่ใจกับผมมากๆ ทั้งการคุย การประชุมที่ยาวนาน และการดูคลิป เขาเป็นโค้ชที่ได้ผลักดันผมไปสู่ขีดจำกัดอย่างแท้จริง เรามีบทสนทนาส่วนตัวที่ยอดเยี่ยมมากๆ ไม่ใช่แค่เรื่องฟุตบอล แต่บางครั้งในชีวิตเวลาที่คุณต้องการบรรลุอะไรบางอย่าง การสนทนาพวกนั้นมันสามารถช่วยคุณได้"
"เขาคอยบอกผมเสมอว่า 'นายสามารถคว้าแชมป์แชมเปี้ยนชิพ และขึ้นไปเล่นพรีเมียร์ลีก แต่ในทุกๆ ปี นายต้องเก่งขึ้นเรื่อยๆ นายต้องขีดเส้นเอาไว้หลังจบฤดูกาลนี้ และถามตัวเองว่า... นายพัฒนาอะไรขึ้นมาบ้างทั้งในและนอกสนาม?'"
มาตเซ่น รับคำแนะนำดังกล่าวมาใช้ในช่วงปรี-ซีซั่นตอนที่กลับมาอยู่กับ เชลซี ในช่วงซัมเมอร์ โดยเขายิง 2 ประตูในการแข่งขันกับ เร็กซ์แฮม ช่วงทัวร์อเมริกา ซึ่งเขาโชว์การฉลองที่แสดงให้เห็นว่ามันมีความสำคัญกับเขายังไง
"ในช่วงเวลานั้น ถึงแม้มันจะเป็นแค่เกมอุ่นเครื่องและเป็นช่วงปรี-ซีซั่น แต่สำหรับผมมันรู้สึกโล่งอกมาก ทุกๆ อย่าง... การทำงานหนัก... ผมย้ายมาที่นี่ตอนเป็นเด็กอายุ 16 ปี ย้ายมาอยู่ในประเทศใหม่ด้วยตัวคนเดียว เรียนรู้ภาษาใหม่ ทำความรู้จักกับเพื่อนใหม่ ความรู้สึกตอนนั้นคือภูมิใจในตัวเองเหลือเกิน"
"มันคือการเริ่มต้นใหม่ ผู้คนใหม่ๆ มันเป็นเรื่องที่ดีสำหรับสโมสร และสำหรับพวกเราเหล่าดาวรุ่งที่คาดหวังจากกันและกันให้มากขึ้น พร้อมกับพา เชลซี กลับไปสู่ระดับสูงสุดอีกครั้ง เราต้องคว้าแชมป์และได้แข่งขันในแชมเปี้ยนส์ ลีก"
"เรามีพรสวรรค์อยู่ในทีม นี่อาจจะเป็น เชลซี ที่อายุน้อยที่สุดที่ผมเคยรู้จัก และมันก็เป็นเรื่องดีนะที่มีการแข่งขันแย่งตำแหน่ง ทุกคนต่างแข่งขันกัน ทุกคนพร้อมที่จะลุย ผมแค่ต้องเตรียมตัวให้พร้อม และตั้งมาตรฐานของผมให้สูงในทุกๆ วัน โดยไม่ปล่อยให้มันตกลงไป"
"แม้บางวันมันอาจจะยาก เพราะไม่มีใครที่สมบูรณ์แบบ แต่ในวันเหล่านั้นผมต้องพยายามทำในสิ่งเดียวกันแบบที่ผมเฝ้าทำมาเสมอ"
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT