:::     :::

ราบคาบ

วันจันทร์ที่ 02 เมษายน 2561 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
3,674
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ความพ่ายแพ้ให้กับคู่แข่งร่วมเมืองอย่าง สเปอร์ส ส่งผลกระทบเสียหายกับ เชลซี อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะเป้าหมายการทำอันดับไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกฤดูกาลหน้า
        นั่นคือ "เป้าใหญ่" ที่ทีมระดับสิงห์บลูส์สมควรจะผ่านเข้าไปเล่นให้ได้ในทุกฤดูกาล นับตั้งแต่สถาปนาตัวเองขึ้นมาเป้นขาใหญ่แห่งวงการลูกหนังอังกฤษนับตั้งแต่ได้เม็ดเงินมหาศาลของ โรมัน อบาโมวิช เข้ามาจุนเจือสโมสรตั้งแต่ปี 2003
        เม็ดเงินทะลุหลักพันล้านปอนด์ที่ลงทุนไป โทรฟี่ใบแล้วใบเล่าถูกนำมาประดับตู้โชว์ของสโมสร นับถึงวันนี้ก็ 14 แชมป์เข้าให้แล้วกับระยะเวลา 15 ปีในรั้วสแตมฟอร์ด บริดจ์ ไล่ตั้งแต่แชมป์พรีเมียร์ลีก 5 สมัย, เอฟเอ คัพ 4 สมัย, ลีก คัพ 4 สมัย, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 สมัย และ ยูโรปา ลีก อีกหนึ่งสมัย แถมจะมีแชมป์เฉลี่ยปีละหนึ่งถ้วยก็ว่าได้ (ไม่รวมปีนี้ที่ยังเหลือลุ้นในรายการเอฟเอ คัพ)
        นี่ไม่ได้รวมถาดแชมป์คอมมูนิตี้ ชิลด์อีกสองหนเข้าไปด้วย
        มันอาจจะไม่ถึงขนาดว่าทำให้กลายเป็นความเคยชินของทีมว่าจะต้องมีโทรฟี่ติดมือในทุกๆปี แต่อย่างน้อยเส้นทางการลุ้นแชมป์ลีกก็ไม่ควรจบรวดเร็วอย่างนี้
        หรือแม้กระทั่งการลุ้นแย่งโควต้าถ้วยใหญ่ของยุโรปที่แม้ในทางทฤษฎียังเป็นไปได้ แต่ต้องยอมรับว่าในทางปฏิบัตินั้นยากเย็นเหลือเกิน
        โอกาสเดียวในการเบียดเข้าไปมีลุ้นให้ได้ก็คือเกม "ลอนดอน ดาร์บี้" ที่เจอกับ สเปอร์ส คู่แข่งโดยตรงในเกมวันอาทิตย์นี่เอง
        ยิ่งเมื่อคู่แข่งขาดกองหน้าคนสำคัญอย่าง แฮร์รี่ เคน อาวุธหนักที่มีหายไปพอสมควร ก็เป็นนิมิตรหมายอันดีที่แฟนสีน้ำหวังว่าทีมจะทำให้ได้เฮสองต่อ ชนะคู่แข่งร่วมเมืองรวงมถึงกลับมาลุ้นโควต้าแชมเปี้ยนส์ ลีกอย่างเต็มตัว
        ตัวหลักของทีมคนเดียวที่หายไปในเกมนี้ก็คือ ติโบต์ กูร์กตัวส์ นายทวารมือหนึ่งที่เจ็บ แต่ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ฟิตกลับมาประจำการในแนวรับตามเดิม ส่วนนักเตะคนอื่นสมบูรณ์เต็มที่ กองหน้าเป็น อัลบาโร่ โมราต้า ล่าตาข่าย 
                   
        เกมรุกของ สเปอร์ส เลือกที่จะใช้ ซน ฮึง-มิน ขึ้นไปยืนกองหน้าในระบบ "ฟอลส์ ไนน์" และ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ สั่งให้ลูกทีมบีบเกมสูงตั้งแต่หน้าเขตโทษของเจ้าถิ่นเลย แม้กระทั่งลูกเตะจากประตูยังดันขึ้นมาจน วิลลี่ กาบาเยโร่ ที่รับหน้าที่เฝ้าเสาในเกมนี้ต้องเตะเปิดยาวตลอด แถมเตะไม่ดีซะด้วย
        แต่ต้องยอมรับการยืนตำแหน่งที่ อันโตนิโอ คอนเต้ วางหมากมานักเตะทำได้อย่างดีเยี่ยม ไม่เปิดโอกาสให้ "ไก่เดือยทอง" ที่อาจจะครองบอลได้ดีแต่จังหวะทะลุไม่มีเลย ทำได้แค่เพียงยิงไกลเท่านั้น
        ทุกครั้งที่ เชลซี ได้บุกบอลจะพุ่งไปข้างหน้ามากกว่า เกมรุกเติมเกมสนุกโดยเฉพาะแบ็คทั้งสองข้างที่ดันเกมแทบจะสุดเส้นหลังเกือบตลอดจนกระทั่งมาพังประตูได้ในช่วงเกือบครึ่งชั่วโมงแรก อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ดันเกมขึ้นมาถึงกลางสนามก่อนไหลออกทางขวาให้ วิคเตอร์ โมเสส ทะลุมาคนเดียวก่อนเปิดเข้าเขตโทษ อูโก้ โยริส บินมาอย่างสวยแต่กลับลงเอยด้วยการวืดบอลเข้าหัว อัลบาโร่ โมราต้า โหม่งเสียบตาข่าย 1-0
                    
        ถ้าลูกนี้ โยริส ไม่ออกเชื่อว่า ดาวิซอน ต้องชน โมราต้า และไม่น่าโหม่งง่ายขนาดนี้ แต่เห็นผู้รักษาประตูออกมาอาจจะไม่คิดว่าเพื่อนจะพลาด จังหวะขึ้นจากภาพช้าเห็นชัดเจนว่า ดาวิซอน ไม่ได้สะบัดหัวออกมาด้านนอกด้วยซ้ำ
        ทุกอย่างดูเหมือนจะเข้าทางเจ้าบ้านทุกอย่างเมื่อได้ประตูขึ้นนำ ทั้ง วิลเลี่ยน และ เอแด็น อาซาร์ ลงมาช่วยวิงแบ็คในจังหวะตั้งเกมรับได้ดี
        ซน ฮึง-มิน ที่รับบทกองหน้าในวันนี้ตัวเล็กเกินกว่าที่จะไปเบียดกับ อันเดรียส คริสเตนเซ่น และ อันโตนิโอ รือดิเกอร์ จนทำให้แทบไม่ได้ทำอะไรเลย 
        สเปอร์ส เจาะไม่เข้าต้องหาจังหวะจากการยิงไกลแต่ยังไม่เห็นผล เดเล่ อัลลี่ ทำอะไรไม่ถนัด โอกาสสับไกหรือสอดทะลุไม่ค่อยมีเพราะโดน เอ็นโกโล่ ก็องเต้ จัดการอยู่หมัด
        จังหวะเสียวเป็นจังหวะสับไกของ คริสเตียน เอริคเซ่น ที่ลองยิงเต็มข้อนอกเขตโทษ วิลลี่ กาบาเยโร่ ต้องออกแรงทุบจังหวะแรกตามมารับจังหวะสองได้
        แต่ก่อนจบครึ่งแรกทุกอย่างที่ทำมาตลอด 45 นาทีแรกก็พังลงจากความผิดพลาดของ วิคเตอร์ โมเสส พยายามยกบอลข้าม เบน เดวีส ริมเส้นเขตโทษตัวเองแต่ไม่พ้น สุดท้าย เดวีส ไหลเข้ากลาง คริสเตียน เอริคเซ่น ที่ได้ลองส่องมาแล้ว คราวนี้กดเต็มๆอีกครั้งบอลลอยสุงแต่มุดลงอย่างกับในการ์ตูน ชนิดที่ วิลลี่ กาบาเยโร่ ได้แต่ใช้สายต่ส่งบอลสู่ก้นตาข่าย 
                      
        อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ถึงกับโวย วิคเตอร์ โมเสส ที่เล่นพลาดง่ายๆจนส่งผลให้ทีมเสียประตู จากที่จะได้เปรียบเมื่อจบครึ่งแรกกลายเป็นมาเสมอถือว่าเสียหายอย่างรุนแรง
        เกมครึ่งแรกถือว่าไม่ขี้เหร่เลยหรือจะบอกได้ว่าทำได้ดีใช้ได้เลย เหนือกว่าคู่แข่งด้วยซ้ำ
        แต่ทว่าเมื่อกลับมาลงสนามในครึ่งหลังกลับกลายเป็นหนังคนละม้วน โดยเฉพาะทางฝั่งเสมอที่ต้องคารวะการปรับเกมของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่
        ซน ฮึง-มิน ที่ยืนหน้าแล้วไม่ได้ทำอะไรเลยถูกโยกไปทางขวาแล้วดัน เดเล่ อัลลี่ ที่รูปร่างใหญ่กว่าขึ้นไปเป็นตัวชนแทน
        จริงอยู่ เชลซี เปิดฉากด้วยความดุดันแต่เล่นไปเล่นมากลายว่าเกมไปอยู่ในการครอบครองของ สเปอร์ส ซะงั้น
        หนึ่งชั่วโมงของเกมนิดหน่อยทีมเยือนก็มาได้ประตูขึ้นนำ เอริค ดายเออร์ วางบอลยาวให้ เดเล่ อัลลี่ สปีดมาเกี่ยวบอลลงอย่างสวยก่อนยิงสวน กาบาเยโร่ ที่พยายามออกมาปิดบอลชนเสาในเข้าประตูไป 2-1
        เห็นได้ชัดว่าจังหวะนี้ อันเดรียส คริสเตนเซ่น มองแต่บอลส่วนทาง เซซาร์ อัซปิลิดวยต้า มองเห็นแต่เหมือนจังหวะสปีดเข้าหาบอลดูอืดผิดปกติเลยกลายเป็นไล่ไม่ทันซะงั้น
               
        ไม่อยากจะมองว่ากัปตันทีมไม่จงใจวิ่งเต็มสปีดแม้ว่าภาพมันจะฟ้องแบบนั้นก็ตาม 
        เชลซี พยายามตอบโต้แต่คล้อยหลังเพียงห้านาทีก็มาสังเวยประตูเพิ่ม ซน ฮึง-มิน ทะลุเข้าเขตโทษด้านขวาพยายามยิงเองจังหวะแรกติด วิลลี่ กาบาเยโร่ บอลไม่ไปไหนแต่จังหวะสกัดเหมือน มาร์กอส อลอนโซ่ กับ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ดันไปกั๊กกันเองสุดท้ายโดน เดเล่ อัลลี่ มาขโมยไปยิงเข้าไป 3-1
        จังหวะนี้ความจริงกองหน้าเกาหลีใต้น่าจะโดนด่าในจังหวะหลุดมาตรงกลางมี เอริก ลาเมร่า ที่รออยู่คนเดียวแต่ดันไปเลือกยิงมุมแคบเอง ยังดีที่สุดท้ายได้ประตู แต่ถึงกระนั้นแม้บอลจะไปสู่ก้นตาข่ายตัวรุกชาวอาร์เจนติน่าก็ยังไม่วายหันมาโวยดาวยิงหน้าตี๋อยู่
                
         แม้สกอร์จะทิ้งห่างแต่ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ ไม่ประมาทยังยัด แฮร์รี่ เคน ลงสนามมาแทน ซน ฮึง-มิน หนึ่งนั้นเพื่อกดไม่ให้ เชลซี กล้าบุกเพลินเกินไป อีกหนึ่งเพื่อให้หัวหอกทีมชาติอังกฤษได้เรียกความฟิตและจังหวะของเกมกลับมา
        สเปอร์ส กลายเป็นยิ่งเล่นยิ่งมั่นใจ ตรงข้ามกับ เชลซี ที่ยิ่งเล่นยิ่งลน เกมรุกจากที่ต่อบอลได้กลายเป็นเร่งจังหวะจนพลาดกันไปหมด ยิ่งไก่เดือยทองยังยึดการเล่นแบบ "บีบเร็ว" บวกกับการเข้าตัดเกมในจังหวะที่จะโดนบุกยิ่งทำให้เกมของเจ้าบ้านขาดความต่อเนื่องไปใหญ่
        เอแด็น อาซาร์ ทำได้เพียงแต่เลี้ยงไปมา จังหวะปล่อยบอลออกจากตัวถ้าไม่โดนนักเตะทีมเยือนสกัดก็เป็นเพื่อนร่วมทีมตัวเองที่เล่นในจังหวะสองพลาดกันเอง
        อันโตนิโอ คอนเต้ เหมือนไม่รู้จะแก้เกมยังไง ไม่มีการเปลี่ยนตัวนักเตะตั้งแต่เสียประตูที่สาม มองไปที่ข้างสนามคนเดียวที่ดูแล้วพอจะลงมาพลิกเกมได้บ้างมีเพียงแค่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ แต่ก็ใช่ว่าจะหวังผลอะไรได้ขนาดนั้น

        พูดแล้วก็ให้คิดถึง มิชี่ บาตชูอายี่ ที่ถือเป็น "อะไหล่" ที่อาจจะไม่ถึงเกรดเอแต่อย่างน้อยก็ต้องบีบวกแน่ และน่าจะเป็นหนึ่งในคนที่จะลงมาทำให้เกมดีขึ้นได้ในยามที่ไม่รู้ว่าจะทำยังไง
        กุนซือชาวอิตาเลี่ยน พยายามปรับเกมเมื่อเวลาล่วงเลยถึงนาทีที่ 82 ชิรูด์ ลงมาเล่นแทน วิคเตอร์ โมเสส พร้อมปรับระบบการเล่นเป็นยืนหลัง 4 คน กองหน้าเป็นการยืนคู่กัน แต่ทุกอย่างมันสายเกินไปแล้ว กองหน้าชาวฝรั่งเศสแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เห็นจังหวะทำชิ่งให้ เอแด็น อาซาร์ หนเดียวเท่านั้น แถมยังพาให้ อัลบาโร่ โมราต้า หายจากเกมไปด้วยจนโดนเปลี่ยนตัวออกนาที 88 ให้ คัลลั่ม ฮัดสัน-โอดอย เจ้าหนูวัย 17 ลงสนามเหมือนเป็นการยอมรับความพ่ายแพ้แล้ว
        ถือเป็นการปราชัยที่อาจจะไม่ถึงขนาดว่าสู้กันไม่ได้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าแท็คติกของ เมาริซิโอ โปเช็ตติโน่ เหนือกว่า อันโตนิโอ คอนเต้ อย่างชัดเจน ชนิดที่การแก้เกมต้องบอกว่าคนละเรื่อง
        บทสรุปลงเอยด้วยความพ่ายแพ้ต่อคู่แข่งร่วมเมืองคาบ้านเป็นครั้งแรกในรอบ 28 ปีในพรีเมียร์ลีก แถมเป็นคู่แข่งที่ลุ้นแย่งโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก คะแนนตามหลังถูกฉีกห่างออกไปเป็น 8 คะแนน กับการแข่งขันที่เหลืออีก 7 เกมก็คงต้องบอกว่า "มันจบแล้วครับ" 
                    
        แน่นอนในฐานะกุนซือและนักเตะของทีมต่างก็ออกมาบอกว่าจะสู้จนถึงเกมสุดท้าย ซึ่งแน่นอนว่าคะแนนที่ตามหลังต้องให้ สเปอร์ส แพ้อีกถึง 3 เกม ในขณะที่ตัวเองก็ต้องไม่พลาดด้วย
        แม้ว่าผลงานในปีนี้อาจจะไม่ได้เลวร้ายถึงขนาดเมื่อปี 2015/16 ที่เก็บได้เพียง 50 คะแนน และจบในอันดับ 10 แต่โดยรวมในฐานะคนที่ตามเชียร์ เชลซี ต้องบอกว่าน่าผิดหวังเมื่อมองฤดูกาลที่แล้วทีมเพิ่งเป็นแชมป์มา
        ในมุมมองของแฟนบอลตอนนี้คงต้องไปหวังกับถ้วยใบสุดท้ายอย่าง เอฟเอ คัพ อาจจะพอช่วยปลอบใจได้บ้าง
        หนึ่งเดียวที่พอจะเป็นน้ำหล่อเลี้ยงให้ได้คุยได้บ้างว่าอย่างน้อยในปีที่ย่ำแย่ก็ยังมีถ้วยติดมือ


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})