กี่ครั้งแล้วในฤดูกาลที่แฟนบอล เชลซี ต้องมาเจอกับสภาพของทีมที่ลงเอยด้วยความผิดหวังเมื่อสิ้นเสียงนกหวีดเมื่อจบเกม
กับเกมครึ่งแรกที่ทำผลงานรุ่งโรจน์แต่ครึ่งหลังกลับกลายเป็น "ร่วง" จนหลายครั้งเกิดคำถามว่าในห้องแต่งตัวเค้าพูดคุยอะไรกัน
สองนัดซ้อนแล้วจากเกมกับ สเปอร์ส และล่าสุดกับ เวสต์แฮม, จากที่ควรจะเก็บได้ 4 คะแนนเพื่อเบียดลุ้นโควต้ายูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ลงเอยด้วยการเหลือคะแนนเดียว
นับเป็น "ลอนดอน ดาร์บี้" ที่ไม่ค่อยสวยเท่าไรเลย
ทีมที่จัดลงสนามในเกมฟัด "ขุนค้อน" ก็ต้องถือว่าเป็นชุดใหญ่ อาจจะขาดเพียงแค่ อันเดรียส คริสเตนเซ่น ที่เกมนี้พักเป็นสำรองแล้วส่ง แกรี่ เคฮิลล์ ลงมาแทน แต่ที่เหลือล้วนแล้วแต่เป็นตัวหลักทั้งสิ้น
สามารถพูดได้เลยว่าชุดนี้นี่แหละคือทีมที่ อันโตนิโอ คอนเต้ เตรียมใช้ทำศึกเอฟเอ คัพรอบรอบชนะเลิศที่จะพบกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ในวันอาทิตย์ที่ 22 เมษายน นี้
กุนซือชาวอิตาเลี่ยนหวังให้ทีมชุดนี้เล่นกันไปต่อเนื่องจนจบฤดูกาลทั้งในลีกโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับโทรฟี่เดียวที่เหลือในฤดูกาลนี้
ผู้รักษาประตู ติโบต์ กูร์กตัวส์ กลับมาเฝ้าเสาอีกครั้ง แนวรับตามเดิม เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า มีความเร็ว, อันโตนิโอ รือดิเกอร์ มีความดุ และ แกรี่ เคฮิลล์ ใช้ชั้นเชิง
แดนกลาง เอ็นโกโล่ ก็องเต้ คอยปัดกวาดและตัดเกมช่วยให้ เชส ฟาเบรกาส มีอิสระในการขึ้นไปปั้นเกมอย่างเต็มที่ ทางซ้ายมี มาร์กอส อลอนโซ่ ทางขวามี วิคเตอร์ โมเสส ทั้งสองฝั่งพร้อมเติมเกมรุกอย่างไม่หยุดตลอดทั้ง 90 นาที
เกมรุก เอแด็น อาซาร์ พอได้เล่นในตำแหน่งที่ถนัดดูเหมือนทุกอย่างจะเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น วิลเลี่ยน อีกหนึ่งความหวังในแนวรุกมีลูกทีเด็ด ขณะที่ อัลบาโร่ โมราต้า ดูเหมือนว่าจะค่อยๆเรียกจังหวะเดิมๆของตัวเองกลับมาได้แล้ว
ก่อนเกมมีการไว้อาลัยให้กับ เรย์ วิลกิ้นส์ อดีตนักเตะและทีมสต๊าฟฟ์ของสโมสร ดูเหมือนจะยิ่งสร้างความฮึกเหิมให้กับทีมอย่างที่ อันโตนิโอ คอนเต้ บอกว่า "คว้าแชมป์เพื่อวิลกิ้นส์"
หมายถึงแชมป์เอฟเอ คัพนะครับ
เมื่อทีมที่อยู่เหนือขึ้นไปอย่าง ลิเวอร์พูล เสมอ แม้ว่า สเปอร์ส จะชนะแต่คะแนนก็ขึ้นไปเท่า "หงส์แดง" นั่นหมายความว่าโอกาสของทัพสิงห์บลู์ในการบีบช่องว่างนั้นมาแล้ว
คู่แข่งอย่าง เวสต์แฮม มองมุมไหนก็คงไม่ใช่คู่ต่อสู้เลย นอกเสียจากการดิ้นรนเพื่อหนีตกชั้นที่ทำให้พวกเขาวิ่งสู้เต็มที่
ทีม "ขุนค้อน" ไม่ได้มารับเต็มสูบอย่างที่ควรจะเป็น แต่พวกเขาใช้โอกาสโต้และเล่นเกมรุกเหมือนกัน นั่นดูเป็นประโยชน์ต่อแนวรุกของ เชลซี ที่อาศัยการจ่ายบอลที่แม่นยำ การเล่นเกมรุกที่รวดเร็วและความสามารถเฉพาะตัวของทั้ง อาซาร์ และ วิลเลี่ยน ที่คอยเล่นงานคู่แข่งตลอดเวลา
แค่ไม่ถึงห้านาทีเจ้าบ้านก็ได้เสียว เอแด็น อาซาร์ ได้จังหวะสับไกจากหน้าเขตโทษบอลพุ่งเฉี่ยวเสาออกไปชนิดที่แฟนเกือบจะได้เฮ
แต่ทีมเยือนก็ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส อาร์กตูร์ มาซูอากู วางบอลยาวจากกลางสนามเข้าเขตโทษ มาร์โก อาร์เนาโตวิช เกี่ยวบอลลงอย่างสวยก่อนแตะหลบ แกรี่ เคฮิลล์ แล้วยิงแต่ยังดีที่ เคฮิลล์ หันกลับมาบล็อคได้ทัน
เกมรุกของ เชลซี (ในครึ่งแรก) ถือว่าไหลลื่น การต่อบอลเล่นชิ่งมีให้เห็นตลอดและน่าขึ้นนำจังหวะชิ่งกันของ อัลบาโร่ โมราต้า กับ เอแด็น อาซาร์ ก่อนที่หัวอกชาวสเปนหลุดเข้ามายิงในกรอบเข้าแต่ล้ำหน้า
อีกครั้งที่น่าได้ประตูจากการประสานงานอันยอดเยี่ยม เชส ฟาเบรกาส จ่ายบอลให้ เอแด็น อาซาร์ ต่อมาที่ อัลบาโร่ โมราต้า ชิ่งคืนให้ อาซาร์ ไหลทะลุช่องเข้าเขตโทษ วิลเลี่ยน สอดมายิงเน้นๆแต่ โจ ฮาร์ท ออกมาบล็อคบอลข้ามคานไปหวุดหวิด
แต่จากลูกเตะมุมต่อเนื่องจังหวะนี้เองนำมาซึ่งประตูขึ้นนำเมื่อทีมเล่นสั้น (อีกแล้ว) วิคเตอร์ โมสส เปิดจากทางมุมเขตโทษฝั่งขวาเข้าเขตโทษ อัลบาโร่ โมราต้า โหม่งบอลเหมือนไม่มีอะไร เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า เบียดกับ มาร์โก อาร์เนาโตวิช ดูเหมือนทีมขุนค้อนน่าจะสกัดได้ อารอน เครสเวลล์ ก็นึกว่าเพื่อนจะเอาอยู่แต่ อัซปิลิกวยต้า ขาไวแหย่จิ้มบอลเข้าประตูไปหน้าตาเฉย
ครึ่งแรกจบลงด้วยความได้เปรียบลองเจ้าถิ่น สิ่งที่เห็นได้ชัดเจนคือเกมรุกของ เชลซี ถือว่าประสานงานกันค่อนช้างลงตัว มีการเล่นชิ่งจังหวะเดียวให้เห็นหลายครั้ง โดยเฉพาะสามประสานทั้ง เอแด็น อาซาร์, วิลเลี่ยน และ อัลบาโร่ โมราต้า
โดยเฉพาะกองหน้าชาวสเปนที่เกมนี้ดูมุ่งมั่นและวิ่งมากเป็นพิเศษ อีกอย่างที่เห็นได้ชัดคือ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า มักจะเปิดบอลเข้าเขตโทษให้เพื่อนร่วมชาติอย่างที่เคยเห็นมาช่วงต้นซีซั่น
ซึ่งมันก็คืออีกหนึ่งอาวุธเด็ดของ เชลซี ที่เล่นงานคู่แข่งได้ดีทีเดียว
ส่วนนึงที่เกมรุกของเจ้าบ้านมีพื้นที่ให้เล่นพอสมควรอาจจะเพราะ เวสต์แฮม เองต้องการประตูเช่นกัน ดังนั้นไม่ได้รับลึกมากนัก
ครึ่งหลังผ่านมานาทีเดียว เชลซี น่าได้เพิ่ม อัลบาโร่ โมราต้า ชิ่งบอลให้ เอแด็น อาซาร์ ลุยเข้าเขตโทษด้านขวาก่อนจ่ายกลับหลังให้ วิลเลี่ยน เกี่ยวหาช่องยิงแต่บอลเฉี่ยวเสาไปนิดเดียว
แต่ทีมขุนค้อนก็มีตอบโต้จากจังหวะเล่นชิ่งเหมือนกัน มาร์โก อาร์เนาโตวิช ได้แปด้วยขวาหน้าเขตโทษแต่บอลเบา ติโบต์ กูร์กตัวส์ ล้มตัวรับไม่ยาก
เป็นเกมที่แบ็คทั้งสองข้างของ เชลซี เติมเกมบุกอย่างสนุกสนานโดยไม่กลัว เวสต์แฮม เลยเพราะทางเกมรุกของทีมขุนค้อนต้องถอยต่ำลงมาเกือบตลอด
นักเตะ เชลซี ช่วยกันไล่บอกดีจริงๆ เสียบอลไม่นานก็จะแย่งกลับคืนมาได้เสมอ โดยเฉพาะแดนกลางที่เก็บจังหวะสองได้ทั้งหมด ต้องยกความดีความชอบให้ เอ็นโกโล่ ก็องเต้
เกมมาถึงหนึ่งชั่วโมงเป็นอีกครั้งที่สองบอลสู่ต้นตาข่ายได้แต่ไม่ได้ประตู อัลบาโร่ โมราต้า ไหลบอลออกทางซ้ายให้ วิลเลี่ยน ที่ปกติจัดตัดเข้ากลางแล้วยิงเอง แต่คราวนี้กระชากไปเองก่อนเปิดเข้ากลาง โมราต้า ชาร์จจ่อๆตุงตาข่ายแต่ผู้ช่วยผู้ตัดสินยกธงล้ำหน้า จากภาพช้าที่ว่าเหลื่อมไม่นิดเดียวจริง
เวสต์แฮม ถือว่าสู้สดใจจริงๆ พยายามเปิดเกมสู้ตลอด น่าเสียด้ายว่าด้วยศักยภาพของพวกเขาไม่ได้เฉียบขาดขนาดนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคู่แข่งเป็นทีมระดับ "เชลซี" ด้วย
แถมเกมนี้ทัพสิงห์บลูส์เหมือนต้องการแก้ตัวจากเกมก่อหน้าที่พ่ายให้กับ สเปอร์ส 1-3
เกมมาถึง 70 นาทีขุนค้อนยิ่งเปิดเกมสู่เมื่อส่ง ฮาเวียร์ เอร์นานเดซ "ชิชารีโต้" ลงมาเล่นในแนวรุกแทน เอดิมิลสัน แฟร์นานเดซ เพื่อให้ มาร์โก อาร์เนาโตวิช มาปั้นเกมรุกเต็มตัว
และเพียงแค่สามนาทีในสนาม เวสต์แฮม ก็มาตามตีเสมอได้ มาร์ค โนเบิ้ล ตักบอลเข้าเขตโทษ แกรี่ เคฮิลล์ โหม่งสกัดแต่ไม่ดีบอลมาทางเขตโทษด้านขวา มาร์โก อาร์เนาโตวิช ถึงก่อน อันโตนิโอ รือดิเกอร์ ที่ดูเหมือนชะล่าใจมากเกินไปในเขตโทษด้านขวาก่อนตวัดกลับมาจังหวะเดียว ชิชารีโต้ ยิงอย่างคมบอลเสียบตาเสาแรกเป็น 1-1
อันโตนิโอ คอนเต้ ปล่อยเวลาผ่านไปเล็กน้อยก่อนแก้เกมด้วยการส่ง เปโดร โรดริเกซ ลงมาแทน วิคเตอร์ โมเสส ขณะที่ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ลงมาแทน อัลบาโร่ โมราต้า
วินาทีนั้น เวสต์แฮม เกือบฉวยโอกาสในจังหวะที่ทัพเจ้าถิ่นยังตั้งขบวนจากการปรับแผนการเล่นไม่ได้ มาร์โก อาร์เนาโตวิช กระชากบอลเข้าเขตโทษด้านขวายังดีจังหวะเปิด แกรี่ เคฮิลล์ มาช่วยบล็อคไว้ได้
แต่ เชลซี ก็น่าจะได้ประตูอีกครั้ง วิลเลี่ยน ไหลบอลให้ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ ข้ามหลอกบอลมาถึง มาร์กอส อลอนโซ่ พลิกกดด้วยซ้ายหน้าเขตโทษแต่ โจ ฮาร์ท บินปัดออกหลังได้เยี่ยม
ท้ายเกม เวสต์แฮม เกือบได้จังหวะดับเจ้าถิ่นจังหวะที่ มาร์โก อาร์เนาโตวิช แตะหลบ เซซาร์ อัซปิลิกวยต้า สปีดเข้าเขตโทษด้านซ้ายแต่ เอ็นโกโล่ ก็องเต้ วิ่งสุดชีวิตมาจิ้มได้แทบจะในวินาทีสุดท้ายที่ก่อนหัวหอกออสเตรียจะสับไกเลย
เชลซี พยายามขึงเกมรุกและเกือบได้เหมือนกัน วิลเลี่ยน เปิดบอลเข้าเขตโทษ โอลิวิเยร์ ชิรูด์ เทคตัวขึ้นโหม่งบอลตกพื้นกำลังจะเสียบเสาอยู่แล้วแต่ โจ ฮาร์ท พุ่งสุดตัวปัดปลายนิ้วบอลชนเสาเด้งออกมา
ช่วงทดเจ็บที่ยาวนาน 5 นาที สิงห์บลูส์ โหมบุกแหลกแต่เจาะไม่เข้าแล้ว
ถือเป็นบทเรียนอีกครั้งของ อันโตนิโอ คอนเต้ และ เชลซีที่ไม่ได้ใช้ความได้เปรียบที่เหนือกว่ากดคู่แข่งให้อยู่หมัด โดยเฉพาะในครึ่งแรกที่โอกาสยิงประตูมากกว่าหนึ่งครั้ง
และเป็นอีกครั้งซ้ำรอยเกมกับ สเปอร์ส จากผลงานที่เฉียบขาดในครึ่งแรกแต่ครึ่งหลังกลับกลายเป็นคนละเรื่อง ต้องยกเครดิตให้ เดวิด มอยส์ และลูกทีมที่วิ่งสู่ฟัดอย่างไม่เกรงศักดิ์ศรีเจ้าถิ่น
สองคะแนนที่หลุดมือไปในเกมนี้ยิ่งตอกย้ำว่าโอกาสในการลุ้นไปเล่นในยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีกของพวกเขาจบลงแล้ว เพราะเกมแบบนี้ไม่ควรพลาดชัยชนะด้วยประการทั้งปวง
10 คะแนนที่ตามหลังทั้ง สเปอร์ส และ ลิเวอร์พูล กับ 6 เกมที่เหลือดูแล้วคงไม่ต้องหวังกันแล้ว
อย่าว่าแต่มองขึ้นไปข้างบนเท่านั้น ทีมด้านล่างอย่าง อาร์เซน่อล ก็ทำแต้มจี้ขึ้นมาห่างเหลือแค่สามคะแนนแล้ว เรียกได้ว่าพร้อมแซงอยู่ทุกเมื่อ
ความย่ำแย่อย่างต่อเนื่องในช่วงหลังอาจจะยิ่งทำให้บรรดาซูเปอร์สตาร์ทั้งหลายที่ตกเป็นข่าวย้ายทีมมาตลอดตัดสินใจเก็บข้าวของย้ายออกจากถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ในช่วงซัมเมอร์นี้
อย่าเพิ่งไปสนใจข่าวว่าทีมตัวเองมีเป้าหมายเสริมทัพอะไรยังไงเลย แค่ข่าวย้ายทีมของนักเตะระดับอ๋องของทีม แฟนบอลก็แทบจะปวดหัวกันแล้ว
ไหนจะตำแหน่งผู้จัดการทีมที่ อันโตนิโอ คอนเต้ จะได้อยู่ในตำแหน่งอีกนานแค่ไหน
ยิ่งฤดูกาลหน้าที่แนวโน้มไม่ได้ไปเล่นถ้วยใหญ่ของยุโรปแน่ๆ จะสามารถดึงดูดสตาร์ดังมาร่วมทีมรึเปล่า
ถ้าเสียตัวหลัก ตัวที่ได้มาพื้นๆ อย่าว่าแต่ตำแหน่งแชมป์ (อย่างเมื่อฤดูกาลที่แล้ว) เลย อันดับ "ท๊อปโฟร์" จะคว้าได้รึเปล่าก็ไม่รู้ เพราะตอนนี้แต่ละทีมต้องบอกว่าแกร่งขึ้นเรื่อยๆ
ยิ่งถ้าจบซีซั่นด้วยมือเปล่าอีกคงต้องบอกว่า เชลซี ปีนี้ดูไม่จืดเลยจริงๆ