อิทธิพลของ เป๊ป กับฟุตบอลอังกฤษ
การผ่านบอลทั้งหมด 16 ครั้งเริ่มจากการตั้งเกมจากแดนหลัง กระทั่งไปจบที่ก้นตาข่าย พร้อมแคปชั่น "ถูกต้อง, รอชเดล ยิงประตูแบบนี้ได้ และพวกคุณจะบอกฉันว่า เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม่ได้มีอิทธิพลกับฟุตบอลอังกฤษ อย่างนั้นเหรอ?"
จากวันนี้ถึงวันนี้ ทุกอย่างเริ่มชัดเจนว่าสิ่งนั้นเป็นจริง เมื่อมองจากสถิติ และคำพูดที่ว่า "สถิติไม่เคยโกหก"
ในฤดูกาล 2015/16 ก่อนที่ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า จะเข้ามารับตำแหน่งนายใหญ่ของ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ - เปอรร์เซ็นต์ของลูกตั้งเตะจากประตูที่จบลงที่พื้นที่ในแดนหลังของสนาม (แบ่งเป็น 3 ส่วน) อยู่ที่ 17 เปอร์เซ็นต์ หรือ 1 ใน 6 เท่านั้น
จนถึงตอนนี้เข้าสู่ฤดูกาลที่ 9 ของนายใหญ่ชาวสเปน กับฟุตบอล อังกฤษ ตัวเลขดังกล่าวพุ่งทะยานขึ้นมาเป็น 61 เปอร์เซ็นต์ หรือเกือบ 2 ใน 3 มากกว่าครึ่งไม่ได้เข้าสู่เขตโทษเลย
ซีซั่นก่อนที่ เป๊ป จะมา ผู้รักษาประตูผ่านบอลสำเร็จที่ 51 เปอร์เซ็นต์ ตอนนี้สถิติขยับขึ้นมาเป็น 71 เปอร์เซ็นต์ เข้าให้แล้ว ซึ่งตัวเลขค่อยๆ ขยับเพิ่มขึ้นในแต่ละฤดูกาลเนื่องจากสโมสรต่างๆ หันมาใช้รูปแบบการเล่นที่เน้นการตั้งเกมจากแนวหลังมากขึ้นเรื่อง แม้ว่าบ่อยครั้งมันจะไม่ได้เป็นประโยชน์กับทีมเสมอไป
แต่นั้นก็แสดงให้เห็นว่าปรัชญาการเล่นของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า กับการเล่นแบบเน้นการครองบอลของเขามีอิทธิพลต่อฟุตบอลอังกฤษ มากกว่าใครในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา
ลองดูที่ผู้จัดการทีมใหม่อย่าง รัสเซลล์ มาร์ติน ของ เซาธ์แฮมป์ตัน และ เอ็นโซ่ มาเรสก้า ของ เชลซี ที่ 80 เปอร์เซ็นต์ ของลูกตั้งเตะจากประตูของทั้งสองทีมเป็นการจ่ายบอลสั้น มีแค่ สเปอร์ส ที่มีค่าเเฉลี่ยน้อยกว่า
แน่นอนว่าทั้งสองคนเป็นสาวกรูปแบบการเล่นของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า อย่างแท้จริง
มาเรสก้า เคยทำงานกับ เป๊ป ที่ ซิตี้ ซึ่งสมัยที่เขาคุม เลสเตอร์ ซิตี้ - มัดส์ เฮอร์มานเซ่น กลายเป็นผู้รักษาประตูที่ผ่านบอลมากกว่ามือกาวคนไหนในประวัติศาสตร์แชมเปี้ยนชิพ แม้ว่าแฟนบอลของ "เดอะ ฟ็อกซ์" จะเบื่อกับเกมแบบนี้ แต่เขาก็สามารถพาทีมเลื่อนชั้นกลับมา พรีเมียร์ลีก
และตอนนี้กุนซือชาวอิตาเลี่ยน ก็กำลังไปได้ดีกับ เชลซี แม้ว่าแฟนบอลจะหัวเสียกับการผ่านบอลผิดพลาดส่งผลให้ทีมเสียประตู ล่าสุดก็เกิดขึ้นในเกมที่ทีมเสมอกับ อาร์เซน่อล นั่นเอน โดยทาง มาเรสก้า ออกมาปกป้อง โรเบิร์ต ซานเชซ ผู้รักษาประตูที่เป็นคนเล่นพลาดว่าทำแบบนั้นเพราะ "คำสั่ง" ของเขาเองที่ให้เล่นด้วยแนวทางนี้
ขณะที่ในราย มาร์ติน ถึงขนาดมีคำพูดของ เป๊ป ที่พูดเอาไว้หลังได้แชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อปี 2011 ใส่กรอบแขวนเอาไว้ที่ออฟฟิศว่า "เมื่อเราชนะ รูปแบบเกมก็จะดีและไม่มีใครตั้งคำถาม"
"แต่จงจำเอาไว้ เราไม่ได้ชนะเสมอไป เมื่อนั้นความข้องใจก็จะตามมา นั่นคือช่วงเวลาที่เราต้องเชื่อมั่นในรูปแบบนี้มากกว่าเดิม เพราะความอยากที่จะทิ้งรูปแบบนี้ก็จะรุนแรงมากขึ้น"
และความสงสัยก็มาถึง - มีแค่ ซิตี้ ที่ผ่านบอลมากกว่า "นักบุญ" ในฤดูกาลนี้ แต่ในขณะเดียวกับ เซาธ์แฮมป์ตัน ก็เสียบอลพื้นที่สุดท้ายในแดนตัวเองมากที่สุดในลีก (75 ครั้ง) และก่อความผิดพลาดจนทำให้คู่แข่งได้โอกาสยิงมากที่สุด (15 ครั้ง) และเสียประตูมากที่สุด (6 ประตู)
กับสถานการณ์ปัจจุบัน เซาธ์แฮมป์ตัน อยู่ในอันดับสุดท้ายของตารางแต่ทาง มาร์ติน ก็ยังไม่ยอมแพ้ คำถามก็คือทีมที่กำลังพัฒนากับรูปแบบการเล่นนี้เป็นความศรัทธาหรือเป็นความโง่เขลา
นั่นแสดงให้เห็นว่าการเล่นแบบนี้มีความเสี่ยงสูง หากคุณผิดพลาดในลีกที่ทีมเก่งในเรื่องของการเพรสซิ่ง คุณจะถูกลงโทษ มีการทำประตูได้จากการบีบเกมสูงเป็นสองเท่าในซีซั่นนี้เมื่อเทียบกับเมื่อ 10 ฤดูกาลที่แล้ว
เบรนท์ฟอร์ด เสียไป 6 ประตูจากสถานการณ์นี้, เซาธ์แฮมป์ตัน โดนไป 4 ลูก ส่วน ไบรท์ตัน, อิปสวิช และ วูล์ฟส์ เสียไปทีมละ 3 ประตู
เบิร์นลี่ย์ พยายามครองบอลเมื่อฤดูกาลที่แล้ว สุดท้ายตกชั้น ส่วนทาง ไบรท์ตัน ทำอยู่ในตอนนี้ซึ่งถือว่าทำได้ไม่เลว แต่พวกเขาค่อนข้างคุ้นเคยอยู่บ้างหลังเคยเล่นแบบนี้ตั้งแต่สมัย คริส ฮิวจ์ตัน คุมทีมมาแล้ว
และในขณะที่บรรดาสโมสรที่กำลังพัฒนาเหล่านี้ภายใต้การคุมทีมของผู้จัดการอายุน้อย ทีมชั้นนำอื่นๆ กำลังถอยห่างจากสิ่งนี้หรือเปิดใจมากขึ้นที่จะเล่นในแบบที่แตกต่างอกไปเมื่อจำเป็น แม้แต่ตัว เป๊ป เองก็ตาม
ในเกมตัดสินแชมป์เมื่อปี 2023 ทาง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า รู้ดีว่าเขาต้องเอาชนะการเพรสซิ่งสูงจึงใช้แผน 4-4-2 และเน้นการยิงไกลเมื่อโดนปิดพื้น - เป๊ป รู้ดีว่าบางครั้งแม้แต่ผู้จัดการทีมในอุดิคติก็ต้องยอมเปลี่ยนแนวคิดเมื่อให้ได้แต้ม
เกือบ 10 ปีกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ไม่รู้ว่ารูปแบบนี้จะอยู่ไปอีกนานแค่ไหน หรือจะมีรูปบบไหนเข้ามาแทนที่หรือเปล่า
แต่ก็อย่างที่บอกไปว่า "สถิติไม่เคยโกหก" เมื่อมองว่าฟุตบอลอังกฤษ เปลี่ยนไปเมื่อ เป๊ป กวาร์โอล่า เข้ามา
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT