จาก'นิวเปเล่'สู่ความล้มเหลว
เมื่ออายุได้ 14 ปี อาดู ที่ได้รับการยกย่องเป็นหนึ่งในดาวรุ่งอนาคตไกลของวงการฟุตบอลก็กลายเป็นผู้เล่นที่รับค่าเหนื่อยสูงสุดของ เมเจอร?ลีก ซอคเกอร์ ก่อนที่จะกลายเป็นผู้เล่นอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นให้ทีมชาติสหรัฐ อเมริกา
เขาถูกคาดหมายว่าจะก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่กว่า ไมเคิ่ล จอร์แดน หรือ ไมเกอร์ วู้ด ซะอีก!!
อาดู เป็นนักกีฬาอาชีพที่อายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ของกีฬาหลักของประเทศสหรัฐ อเมริกา และได้รับการขนานนามว่าเป็น “นิว เปเล่" จากผู้อยู่เบื้องหลังที่ปลุกปั้นเขาขึ้นมา
เพียงแต่ว่าสุดท้ายแล้วมันไม่ได้เกิดขึ้น เส้นทางอาชีพของ อาดู แทบจะจบลงก่อนที่มันจะเริ่มต้นอย่างจริงจัง ดาวรุ่งที่เกิดใน กานา เริ่มต้นจากจุดที่ยอดเยี่ยมในการเล่นกับ ดีซี ยูไนเต็ด แต่ต้องดิ้นรนอย่างหนักในต่างแดน
ตอนอายุ 16 ปี เค้าไปทดสอบฝีเท้ากับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และสร้างความประทับใจให้กับ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ในช่วงสองสัปดาห์ที่สโมสร แต่ปัญหาคือเรื่องของวีซ่าทำให้การย้ายทีมครั้งนี้ไม่เกิดขึ้น
อาดู ต้องไปเล่นกับสโมสรอื่นในยุโรปซึ่งจากความผิดหวังนั้นทำให้เขาไม่สามารถแสดงสิ่งที่มีอยู่ออกมาได้ หลังได้ย้ายไปอยู่กับ เบนฟิกา ในปี 2007 แต่ก็โดนปล่อยให้หลายสโมสรยืมตัวทั้ง โมนาโก, เบเลเนนส์, อาริส และ ริเซสปอร์
ถึงกระนั้น อาดู ก็ไม่ได้รู้สึกสุขเศร้ากับประสบการณ์ของตัวเอง แม้บางเรื่องมันจะโหดร้ายก็ตาม โดยเปิดเผยว่าเขาไม่เคยได้รับเงินจากสโมสรบางแห่งที่เขาเคยค้าแข้งด้วยตลอดเส้นทางอาชีพที่เล่นถึง 15 สโมสร ซึ่งเจ้าตัวชีว่าตัวเค้าเองถูกใช้เป็น “เครื่องมือทางการตลาด" สำหรับสโมสรที่ต้องการชื่อเสียง และนั่นทำให้ความหลงใหลในเกมฟุตบอลของเขาค่อยๆ จางหายไป จนถึงจุดที่ไม่สนใจกีฬาชนิดนี้อีกต่อไปและไม่ต้องการยุ่งกับมันอีก
ปัจจุบันในวัย 35 ปี อาดู เริ่มต้นบทบาทใหม่ด้วยการช่วยเหลือดาวรุ่งยุคใหม่ซึ่งเป็นสิ่งที่เขาให้ความสำคัญเป็นอันดับแรก และการได้เห็นพรสวรรค์ของนักเตะอายุน้อยที่เค้าทำงานด้วยพอจะช่วยทำให้ความรักที่เขามีต่อเกมฟุตบอลกลับมาได้อีกครั้ง
“ตอนนี้ความรักที่ผมมีต่อเกมนั้นอยู่ในจุดที่สูงที่สุด เพราะว่าทุกอย่างที่ผมเคยผ่านมาในฐานะผู้เล่น เพราะแนวทางที่ผมถูกทีมต่างๆ ใช้งาน และผู้คนมากมายที่เอาเปรียบผมจนถึงทุกวันนี้ยังมีทีมที่ไม่จ่ายเงินเดือนให้ผมตั้งแต่ตอนที่ผมอยู่ที่นั่น ซึ่งจนถึงวันนี้แล้วมันก็ยังเป็นปัญหาอยู่!"
“ทีมที่เข้ามาหาคุณต้องการใช้คุณเป็นเครื่องมือทางการตลาดมากกว่าผู้เล่นจริงๆ เพื่อช่วยเหลือและเล่นให้กับทีม นั่นคือจุดที่ผมสูญเสียความรักที่มีต่อเกมไปโดยสิ้นเชิง ผมจะไม่มานั่งพูดอยู่ตรงนี้แล้วโกหกหรอกนะ"
“ผมสนุกกับเกมฟุตบอลเสมอ จริงอยู่ว่ามันเป็นงานแต่มันก็สนุกเสมอ แต่กับบางที่ความสนุกนั้นหายไป และผมไม่สนุกกับมันอีกต่อไป มันกลายเป็นสิ่งที่ผมทำไปก็เพราะว่ามีสัญญาอยู่ มันหายไปแล้ว ผมผ่านช่วงเวลาหลายปีที่ผมสูญเสีย ความรักที่มีต่อเกมฟุตบอล นั่นคือเหตุผลที่ผมหายหน้าไประยะหนึ่ง ผมไม่พูดอะไรกับใคร ผมแค่ถอยออกมาและไม่เปิดเผยให้สาธารณะชนทราบ"
“จนกระทั่งเพื่อนสนิทของผมคนหนึ่งชวนผมจัดการซ้อมให้กับทีมของเขา ผมจึงเริ่มได้รับความรักที่มีต่อเกมนี้กลับคืนมา เพียงแค่ได้อยู่ใกล้เด็กๆเหล่านั้น เห็นแววตาและความหวังของพวกเขา ทุกคนมีความฝันอันยิ่งใหญ่ พูดถึงนักเตะอย่าง โรนัลโด้ และ เมสซี่ และพวกเขาต้องการเป็นนักเตะอาชีพและเล่นให้กับทีมชาติ การได้อยู่ใกล้เด็กๆ ผมจึงเริ่มได้รับความรักนั้นกลับมาอีกครั้ง ผมเห็นตัวเองมากมายในตัวเด็กเหล่านี้"
ตอนนี้ อาดู ทุ่มเทตัวเองให้กับอาชีพโค้ชด้วยความฝันที่จะได้มีส่วนร่วมกับทีมเยาวชนของทีมชาติสหรัฐ อเมริกา
“ผมคิดว่าผมจะสามารถมอบคุณค่ามากมายให้กับนักเตะเหล่านี้ได้เพราะด้วยประสบการณ์ที่ผมมีในฐานะนักเตะ คุณต้องสามารถเชื่อมโยงเด็กเด็กเหล่านี้ได้ ใครสักคนที่ผ่านอะไรมามากมายและเป็นคนที่พวกเขาสามารถพูดคุยด้วยได้"
เมื่อมองย้อนกลับไปถึงจุดที่ทุกอย่างผิดพลาดที่สุดสำหรับเขา อาดู ชี้ให้เห็นถึงการย้ายจาก เบนฟิกา ไป โมนาโก ด้วยสัญญายืมตัวในซัมเมอร์ปี 2008 - ที่ยักษ์ใหญ่แห่ง โปรตุเกส มีกลุ่มดาวรุ่งอนาคตใดที่กำลังก้าวขึ้นมาอย่าง ดาวิด ลุยซ์ และ อังเคล ดิ มาเรีย แต่ อาดู ไม่ได้ลงเล่นร่วมกับพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ
“ที่ โมนาโก, ประธานสโมสรต้องการตัวผม ผมได้รับการบอกว่าโค้ชพร้อมแล้ว ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีและผมจะได้ลงเล่นซึ่ง เบนฟิกา ก็ได้รับข้อมูลเดียวกัน"
“ผมไปไปถึงที่นั่นแล้วเรารู้ทันทีว่าโค้ชไม่อยากให้ผมอยู่ในทีมจริงๆ เพราะงานของเขากำลังอยู่บนเส้นด้าย ดังนั้นเค้าจึงชอบผู้เล่นที่มีมีประสบการณ์มากกว่าในเวลานั้นไม่ใช่ผู้เล่นดาวรุ่งที่ต้องใช้เวลาในการปรับตัว"
“ผมคิดว่านั่นคือจุดเริ่มต้นแบบโดมิโนเมื่อผมถูกปล่อยยืมตัวกับหลายสโมสร มันเป็นจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ ดังนั้นหากผมมีโอกาสตัดสินใจอีกครั้ง ผมคงจะอยู่ที่ เบนฟิกา ต่อไป และผมจะทำงานหนักเพื่อพยายามได้ลงเล่นมากขึ้นอย่างที่ ดิ มาเรีย ทำ"
“ถ้าผมอยู่ที่นั่นผมคงมีโอกาสแบบเดียวกับที่ ดิ มาเรีย และ ดาวิด ลุยซ์ ได้รับ เพราะเราคือกลุ่มดาวรุ่งที่นั่นในตอนนั้น ผมเล่นได้ดีกว่า ดิ มาเรีย ด้วยซ้ำไป - ดาวิด ลุยซ์ เป็นตัวจริงต่อเนื่องแล้ว เขาเป็นกองหลังชั้นยอดและเป็นนักเตะชั้นเยี่ยม ดังนั้นเขาได้ออกสตาร์ตัวจริงในทุกเกม แต่ระหว่างตัวผม ดิ มาเรีย ในตอนนั้น ผมทำได้ดีกว่า ดังนั้นผมคิดว่าผมคงจะได้โอกาสแบบเดียวกับเขา"
อาดู หวังว่าตัวเองจะยังมีบทบาทสำคัญกับกีฬาที่เคยกัดกินเขาและทำให้เขาสูญเสียศรัทธาไป
“ผมรักการเป็นโค้ชมากในตอนนี้ ผมชอบการเป็นโค้ชให้กับผู้เล่นอายุน้อยเพราะผมสามารถช่วยเหลือพวกเขาได รับฟังพวกเขาและเข้าถึงได้ดีกว่ามาก การได้เห็นทุกคนพัฒนาตัวเองในฐานะผู้ เห็นทุกคนเล่นเพื่อทีมของตัวเองและทำผลงานได้ดีขึ้น มันเป็นความรู้ความรู้สึกที่ยอดเยี่ยมมากๆ ตอนนี้ผมมุ่งมั่นกับสิ่งนี้เพราะตอนที่ผมยังเด็กผมหวังว่าจะมีคนห่วงใยและพัฒนาผม ดังนั้นผมจึงพยายามใช้ประสบการณ์ที่มีและทุกอย่างที่ผมเคยผ่านมาเพื่อช่วยเหลือดาวรุ่งเหล่านี้"
“ในอนาคตการเป็นโค้ชจะเป็นสิ่งที่ผมให้ความสนใจมากๆ กับการก้าวไปสู่ระดับมืออาชีพ ซึ่งแน่นอนว่าต้องใช้เวลาและความพยายาม แต่มันเป็นสิ่งที่ผมสนใจ"
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT