เวิลด์ คัพ 2030 และ 2034
หลังจากการประชุมผ่านทาง “วิดีโอ ลิงค์” กับสมาชิกทั้ง 211 ประเทศ และมีการลงคะแนนเสียงกัน
ฟุตบอลโลก 2030 จะจัดขึ้นที่ สเปน, โปรตุเกส และ โมร็อกโก เป็นเจ้าภาพร่วม โดยเพื่อเป็นการครบรอบ 100 ปีของ ฟุตบอลโลก ครั้งแรกเมื่อปี 1930 ดังนั้น 3 เกมแรกของทัวร์นาเม้นต์จะจัดขึ้นที่ อเมริกาใต้ ได้แก่ อุรุกวัย, อาร์เจนติน่า และ ปารากวัย
สมาชิกฟีฟ่ายังตกลงกันด้วยว่า ซาอุดีอาระเบีย เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันในปี 2034 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโครงการมูลค่า 2.5 ล้านล้านปอนด์ ของรัฐอ่าวเปอร์เซีย
การตัดสินใจเลือกเจ้าภาพทั้งสองครั้งนั้นมีสัญญาณมาตั้งแต่เมื่อ 14 เดือนที่แล้ว หลังจากที่ จานนี่ อินฟานติโน่ ประธานฟีฟ่า ได้ทำข้อตกลงกับผู้บริหารของ อเมริกาใต้เพื่อเปิดทางให้กับ ซาดิอาระเบีย
ตั้งแต่นั้นมา ฟีฟ่า ได้ผ่านกระบวนการ “ประเมิน” สำหรับการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพทั้งสองครั้ง ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่มันผ่านไปได้ด้วยดี
อย่างไรก็ตามทาง อินฟานติโน่ ไม่ปล่อยให้มีช่องสำหรับการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆ ทั้งสิ้น เนื่องจากเขาทำให้มั่นใจว่าประเทศต่างๆ จะไม่มีการหยิบยกประเด็นอะไรขึ้นมา เช่น สิทธิมนุษยชน ใน ซาอุดิอาระเบีย
ในขณะที่ สมาคมฟุตบอลอังกฤษ เห็นด้วยกับฟีฟ่า - โดยผู้บริหาร เวมบลีย์ กำลังพิจารณาเสนอตัวจัดการแข่งขันฟุตบอลหญิงชิงแชมป์โลกในปี 2029 และไม่อยากให้เรื่องนี้ตกไป
แต่ว่าสมาคมฟุตบอลนอร์เวย์ และ เดนมาร์ก แสดงความไม่พอใจต่อกลไกดังกล่าว
ลิเซ่ คลาเวเนสส์ ประธานสมาคมฟุตบอลนอร์เวย์ ชี้แจงอย่างชัดเจนว่าเธอจะงดออกเสียงมากกว่าที่จะลงคะแนนสนับสนุน
ส่วนฝั่ง เดนมาร์ก สนับสนุนการตัดสินใจดังกล่าว แต่ระบุว่า “หวังว่าฟีฟ่าจะปฏิบัติตามข้อเรียกร้องด้านสิทธิมนุษยชน เสถียรภาพในการแสดงออก และการเข้าถึงการแข่งขันฟุตบอลโลกอย่างเท่าเทียมกัน”
ขณะเดียวกัน การสนับสนุนของสมาคมฟุตบอล สวิตเซอร์แลนด์ ก็มาพร้อมกับข้อเรียกร้องให้ฟีฟ่าจัดจัดตั้ง “องค์กรอิสระเพื่อรับประกันสิทธิมนุษยชนและความโปร่งใส” ในอ่าวเปอร์เซียด้วย
สเปน เสนอให้สร้างสนามแห่งใหม่ 11 แห่งในเก้าเมืองโดยหกเมืองที่เสนอโดย โมร็อกโก, ลิสต์บอล และ ปอร์โต ใน โปรตุเกส
สนามกีฬาแห่งหนึ่งใน โมร็อกโก คือสนาม ฮัสซัน ที่ 2 ใน คาซาบลังก้า ซึ่งสร้างสถิติใหม่ ด้วยความจุ 115,000 ที่นั่ง ที่จะทำให้เป็นสนามฟุตบอลที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยคาดว่าจะสร้างเสร็จภายในปี 2028
อย่างไรก็ตามสนามแห่งใหม่อันยิ่งใหญ่นี้อาจจะไม่ได้จัดการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ โดยที่ ซานติอาโก้ เบร์นาเบว ของ เรอัล มาดริด ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ หรือ คัมป์ นู ของ บาร์เซโลน่า ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่เช่นกัน มีโอกาสมากกว่า
เมื่อพูดถึงการสร้างสนามใหม่เพื่อจุดประสงค์ในอนาคต การเสนอตัวของ ซาอุดิอาระเบีย คาดว่าจะมีสนามแห่งใหม่ถึง 15 สนามในห้างเมือง ได้แก่ ริยาดห์, เจดดาห์, อับฮา, โคบาห์ และ นีออม ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในระหว่างก่อสร้างและคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในห้าปีหลังการแข่งขันฟุตบอลโลก
แผนการสร้างสนามกีฬาต่างๆ ยังรวมถึง หุบเขาเทียม และสนามกีฬา 45,000 ที่นั่งที่สร้างไว้ในหน้าผา
แต่สนามกีฬาที่ นีออม มีความทะเยอทะยานที่สุด โดยจะจะเป็นสนามสนามที่มีความสูงจากพื้น 350 เมตร เป็นส่วนหนึ่งของตึกฟ้า “เดอะ ไลน์” ที่มีความยาว 110 ไมล์
อย่างไรก็ตาม สนามกีฬา คิง ซัลมาน ซึ่งความจุ 92,000 ที่นั่ง จะเป็นสถานที่จัดงานที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและจะเป็นสถานที่จัดการแข่งขันนัดเปิดสนามและในนัดชิงชนะเลิศ
สนามกีฬาที่ทันสมัยแห่งนี้ประกอบไปด้วยห้องรับแขก 120 ห้อง และที่นั่งวีไอพี 300 ที่นั่ง รวมถึงพื้นที่วีไอพี และศูนย์การค้าด้วย
เช่นเดียวกับ กาตาร์ เมื่อปี 2022 แทบจะแน่นอนว่าการแข่งขันครั้งนี้จะเล่นกันในฤดูหนาว ซึ่งจะทำให้ฤดูกาลของสโมสรยุโรปแบบดั้งเดิมต้องหยุดชะงัก แต่มีแนวโน้มจะเกิดขึ้นในช่วงเดือนมกราคม 2024 แทนที่จะเป็นช่วงเดือนพฤศจิกายนถึงธันวาคม เนื่องจากช่วงเวลานี้เป็นช่วง รอมฎอน ของศาสนาอิสลาม
ซึ่งนั่นจะจุดชนวนให้เกิดปฏิกิริยาอีกครั้งจากลีกชั้นนำของยุโรปอย่างแน่นแน เนื่องจากการแข่งขันจะต้องพักร่วมสองเดือน โดยทาง ริขาร์ดส์ มาสเตอร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของพรีเมียร์ลีก คงจะเป็นหนึ่งในคนที่ออกมาส่งเสียงกับโปรแกรมการแข่งขันอย่างไม่ต้องสงสัย
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT