แชมป์เอฟเอ คัพ ของ สิงห์บลูส์

เชลซี ถือเป็นหนึ่งในทีมที่มีความทรงจำที่ดีกับถ้วยใบนี้ โดยเฉพาะในช่วง 28 ปีหลังสุด ทีมได้แชมป์ไปถึง 7 ครั้ง โดยรวมแล้วทีมได้แชมป์รายการนี้ไปแล้ว 8 หน มีแค่ อาร์เซน่อล (14) และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (13) ที่ทำได้ดีกว่า
โดยรวมแล้วทัพ "สิงห์บลูส์" เข้าชิงถ้วยนี้ทั้งหมด 16 ครั้ง ได้แชมป์มาครึ่งหนึ่งก็ต้องบอกว่าน้อยไปหน่อย โดยเฉพาะสถิติเข้าชิงราสยการนี้ 3 หนติดในปี 2020-22 น่าเสียดายที่จบด้วยความพ่ายแพ้ให้กับ อาร์เซน่อล, เลสเตอร์ ซิตี้ และ ลิเวอร์พูล
แน่นอนว่านี่คือหนึ่งในถ้วยที่ เชลซี ต้องการจะคว้าแชมป์มาครองให้ได้ในทุกปี และในซีซั่นนี้ที่มีขุมกำลัง "เหลือกินเหลือใช้" ทีมก็มุ่งมั่นที่จะคว้าแชมป์ให้ได้
แต่วันนี้จะย้อนกลับไปดูความทรงจำอันพิเศษกับการคว้าแชมป์ทั้ง 8 ครั้งว่าเป็นยังไงกันบ้าง
1970
แชมป์ครั้งแรกของสโมสรย้อนกลับไปเมื่อเกือบ 55 ปีที่แล้ว เป็นการเจอกับ ลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งต้องเล่นกันถึง 2 เกมกว่าจะได้ผู้ชนะ และต้องดวลถึงช่วงต่อเวลาพิเศษทั้ง 2 เกมด้วย
นัดแรก เชลซี ตามหลัง 2 ครั้งคราโดยเสียประตูให้กับ แจ็ค ชาร์ลตัน นาทีที่่ 20 และ ไมเคิ่ล โจนส์ นาทีที่ 84 แต่ทีมก็ตีเสมอได้จาก ปีเตอร์ ฮูเซแมน นาทีที่ 41 และ เอียน ฮัทชินสัน นาทีที่ 86 ต้องให้ต้องไปแข่งขันกันใหม่
และเกมก็เป็นเหมือนเดิม "ยูงทอง" นำก่อนจาก ไมเคิ่ล โจนส์ นาทีที่ 35 แต่ เชลซี มาตีเสมอนาทีที่ 78 จาก ปีเตอร์ ออสกู๊ด ต้องสู้กันในช่วงต่อเวลาพิเศษแต่คราวนี้ทีมมาได้ประตูชัยจากเดวิด เว็บบ์ นาทีที่ 104 คว้าแชมป์ไปครองได้สำเร็จ
1997
"เรารอมันมาอย่างยาวนาน แต่เราจะรอมันตลอดไป" บทเพลง บลู เดย์ ของ ซักก์ส ในรองชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ ซึ่งครั้งนี้ทีมเจอกับ มิดเดิลสโบรช์
ต่อหน้าแฟนบอลเกือบ 8 หมื่นคนที่ เวมบลีย์ - โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ พังตาข่ายให้สาวก "สิงโตน้ำเงินคราม" ตั้งแต่นาทีแรก ก่อนที่ เอ็ดเวิร์ด นิวตัน จะมาบวกประตูย้ำชัยชนะนาทีที่ 83 สิ้นสุดการรอคอย 27 ปีลงสำเร็จ
2000
ทัพ เชลซี ไม่ต้องรอนานกับการได้แชมป์ เอฟเอ คัพ สมัยที่ 3 ของสโมสร ในการเผชิญหน้ากับ แอสตัน วิลล่า ของ จอห์น เกรกอรี่ โดยในครั้งนั้นทีมนำทัพโดย เดนนิส ไวส์, ดิดิเยร์ เดส์ช็องส์, มาร์เซล เดอไซยี่, โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ, จานฟรังโก้ โซล่า และ จอร์จ เวอาห์
เป็นอีกครั้งที่ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ทำประตูได้ และเป็นประตูเดียวของเกมที่สูสีอย่างมาก ซึ่งนี่เป็นการลงเล่นที่ "เวมบลีย์ เดิม" เป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะทุบทิ้งแล้วสร้างขึ้นมาใหม่
2007
หลังจากคว้าแชมป์เป็นการปิดฉากสนาม "เวมบลีย์ เก่า" แล้ว เชลซี ก็ประเดิมเกมชิงชนะเลิศของสังเวียน "เวมบลีย์ ใหม่" ที่เพิ่งสร้างเสร็วขด้วยการเปิดแชมป์อย่างยอดเยี่ยม
ครั้งนี้ทีมเจอกับของแข็งอย่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่เป็น "แชมป์เก่า" ที่มี เวย์น รูนี่ย์, พอล สโคลส์, ริโอ เฟอร์ดินานด์, เนมันย่า วิดิช, คริสเตียโน่ โรนัลโด้ และ ไรอัน กิ๊ก นำทีม ส่วน เชลซี เองก็มีสตาร์เพียบทั้ง ปีเตอร์ เช็ก, จอห์น เทอร์รี่, ไมเคิ่ล เอสเซียง, แฟร้งค์ แลมพาร์ด, โคล้ด มาเกเลเล่ และ ดิดิเยน์ ดร็อกบา
เกมยื้อกันไปถึงช่วงต่อเวลาพิเศษ และก่อนหมดเวลา 4 นาทีเป็น ดร็อกบา ที่ประสานงานกับ แลมพาร์ด และเป็นหัวหอกทีมชาติไอวอรี่ โคสต์ ที่จัดการซัดเสียบมุมตาข่ายให้ทีมภายใต้การนำของ โชเซ่ มูรินโญ่ คว้าแชมป์ไปครอง
2009
สองปีต่อมากับการเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศอีกครั้ง คราวนี้คู่ต่อสู้เป็น เอฟเวอร์ตัน และทีมก็ตกเป็นรองตั้งแต่เริ่มเกมไม่ถึงหนึ่งนาทีหลังเสียประตูให้กับ หลุยส์ ซาฮา แค่ 25 วินาที
อย่างไรก็ตามทีมมาตีเสมอได้ตั้งแต่ครึ่งแรกจากลูกโหม่ง ดิดิเยร์ ดร็อกบา นาทีที่ 21 และ แฟร้งค์ แลมพาร์ด มายิงด้วยซ้ายนาทีที่ 72 เป็นประตูชัยให้ทีมคว้าแชมป์ และเป็นครั้งแรกที่ทีมไม่ได้สวมเสื้อสีน้ำเงินในเกมชิงชนะเลิศ
2010
หนึ่งปีต่อมา เชลซี กรุยทางเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง ซึ่งคู่แข้งเปลี่ยนหน้ามาเป็น พอร์ทสมัธ ที่แม้ผลงานในลีกจะแย่ถึงขั้นตกชั้น ในบอลรายการนี้พวกเขาโชคดีที่เจอกับคู่แข่งที่ไม่แข็งนัก
"สิงห์บลูส์" ภายใต้การนำของ คาร์โล อันเชล็อตติ เบียดชนะไปได้ 1-0 จากฟรีคิกของ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ที่เป็นฮีโร่อีกครั้ง โดยในปีนี้ทีมได้แชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองอีกด้วย ถือเป็นครั้งแรกที่ทีมได้ "ดับเบิ้ลแชมป์" ที่เป็นแชมป์ลีกกับ เอฟเอ คัพ ในประวัติศาสตร์สโมสร
2012
หลังหายหน้าไปปีเดียว เชลซี กลับมาเข้าชิงชนะเลิศในรายการนี้อีกครั้ง โดยครั้งนี้ทีมเปลี่ยนผู้จัดการทีมมาเป็น โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่เคยได้แชมป์ 2 สมัย ตอนเป็นนักเตะร่วมกับทีม โดยมี ลิเวอร์พูล เป็นคู่แข่ง
ครั้งนี้ "สิงห์บลูส์" นำก่อน 2 ประตูจาก รามีเรส นาทีที่ 11 และ ดิดิเยร์ ดร็อกบา ที่ยิงประตูในเกมชิงบอลถ้วยรายการนี้เป็นหนที่ 4 แม้ว่า "หงส์แดง" จะตีไข่แตกได้จาก แอนดี้ แคร์โรลล์ นาทีที่ 64 แต่ว่าก็ทำได้แค่นั้น จบเกม เชลซี เอาชนะไปได้ 2-1
สองสัปดาห์หลังจากนั้น เชลซี ยังก้าวไปคว้าโทรฟี่ใหญ่อย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก มาครองอย่างยิ่งใหญ่หลังดวลจุดโทษชนะ บาเยิร์น มิวนิค ซึ่งเป็นการได้แชมป์ด้วยใหญ่ยุโรปครั้งแรกของสโมสรด้วย
2018
อีกครั้งกับการมาเจอ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในเกมรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ หลังจากที่หนล่าสุดที่เจอกันในฤดูกาล 2006/07 ทีมเอาชนะไปได้ 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ
ในเกมนี้จบที่สกอร์เดิม แต่ประตูเดียวของเกมเกิดขึ้นตั้งแต่นาทีที่ 22 เมื่อ เอแด็น อาซาร์ ที่อยู่ในช่วงพีคเต็มที่ใช้ความเร็วพาบอลลุยเข้าเขตโทษ ฟิล โจนส์ พยายามตามแต่ล้าหลังสุดท้ายตัดสินใจเสียบร่วง ผู้ตัดสิน ไมเคิ่ล โอลิเวอร์ ชึ้เป็นจุดโทษและเป็น อาซาร์ ที่ลุกขึ้นมาสังหารเองไม่พลาด เป็นแชมป์หนล่าสุดของรายการนี้ที่ทีมได้มาครอง
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT