:::     :::

จาก ฮ็อดเดิ้ล ถึง มาเรสก้า

วันศุกร์ที่ 21 กุมภาพันธ์ 2568 คอลัมน์ สิงห์สนามจริง โดย ยักษ์เดนส์
547
ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
แฟนบอล เชลซี เริ่มส่งเสียงวิจารณ์ใส่ เอ็นโซ่ มาเรสก้า มากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เฉกเช่นเดียวกับที่ เกล็น ฮ็อดเดิ้ล เคยเจอมาเมื่อฤดูกาล 1993/94 หรือเมื่อ 32 ปีที่แล้ว

    สิ่งที่แตกต่างกันก็คือ "สิงห์บลูส์" ของ ฮ็อดเดิ้ล ไม่ได้ใช้เงินมหาศาลในการเสริมทีม โดยสิ่งที่เหมือนกันของทั้งคู่คือการประสบความสำเร็จสมัยเป็นนักเตะ มาคุม เชลซี หลังจากพาสโมสรเดิมเลื่อนชั้นสู่ลีกสูงสุดและไม่มีประสบการณ์คุมทีมมาก โดย ฮ็อดเดิ้ล อยู่กับ สวินดอน มา  2 ปี ส่วน มาเรสก้า คุม ปาร์ม่า แค่ 14 เกม ก่อนจะมาประสบความสำเร็จกับ เลสเตอร์ ซิตี้ ในแชมเปี้ยนชิพ

    ฮ็อดเดิ้ล ต้องการให้ เชลซี เล่นด้วยระบบปราการหลัง 3 คน หลังออกสตาร์ทอย่างยอดเยี่ยมทีมแพ้เจอสถานการณ์แย่แพ้ถึง 9 จาก 11 เกม จนสโมสรต้องดิ้นรนหนีการตกชั้น ในขณะที่ มาเรสก้า ก็พาทีมโชว์ฟอร์มเยี่ยมก่อนหน้านี้ กระทั่งช่วงเดือนที่ผ่านมาทีมผลงานตกลงไปจนหลุดจากท็อปโฟร์ในเวลานี้

    ถ้า มาเรสก้า ต้องการคำปลอบใจ ผลงานของ ฮ็อดเดิ้ล ในฤดูกาลนั้นอาจจะช่วยได้หลังจากพลิกสถานการณ์พาทีมกลับมาจบที่กลางตารางและเข้าชิงชนะเลิศ เอฟเอ คัพ เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปีของสโมสร ถึงแม้จะจบด้วยความพ่ายแพ้ให้กับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด แต่ก็มีขบวนแห่และแฟนบอลก็หนุนหลังเต็มที่


    ฮ็อดเดิ้ล กล่าวกับ ดิ แอธเลติก ว่า "ในฐานะผู้จัดการทีม คุณต้องตัดเสียงเชิงลบที่รบกวนจากภายนอกออกไป ผมทำแบบนั้นตอนที่อยู่กับ เชลซี ผมจำได้ว่าเคยเจอช่วงเวลาแบบนั้นเหมือนกันเพราะผมเคยอยู่ ท็อตแน่ม มาก่อน ผมไม่มีวันลืมตอนที่เดินออกจากสนามหลังจาก เชลซี แพ้ เซาธ์แฮมป์ตัน 1-3 เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม จนหล่นไปอยู่อันดับรองสุดท้ายของตาราง และเราต้องเจอกับ นิวคาสเซิ่ล ที่เกือบหัวตารางในเกมถัดไป เราขึ้นรถบัสและถูกแฟนบอลตะโกนด่าอย่างหนัก พวกเขาโทรมาหาผมในทุกทางและพูดว่า 'ทำไมแกไม่กลับไป ท็อตแน่ม?'"

    "มาเรสก้า จะได้ยินมัน (เสียงวิจารณ์) แต่เมื่อมองเขาจากคาแรกเตอร์ เขาสามารถไม่สนใจมันได้ การเป็นอดีตนักฟุตบอลช่วยให้คุณรับมือกับสิ่งนั้นได้ มันสอนให้คุณไม่สงสัยในตัวเอง คุณมีทั้งช่วงขาขึ้นและขาลงในฐานะผู้เล่น อาการบาดเจ็บ ฟอร์มที่ย่ำแย่ ซึ่งนั่นก็คือชีวิตของผู้จัดการทีมเช่นกัน คุณต้องเรียนรู้ที่จะตอบสนองต่อแรงกดดันนั้น มันอยู่ในดีเอ็นเอของคุณ แต่เมื่อสิ่งต่างๆ ไม่เป็นไปด้วยดี นั่นคือตอนที่คุณต้องทำหน้าที่ของคุณอย่างแท้จริง”

    ฮ็อดเดิ้ล ปรับแผนใช้กองหลังสี่คนและกองกลางแบบไดมอนด์ แต่ว่า มาเรสก้า ไม่มีทีท่าว่าจะเปลี่ยนรูปแบบการเล่นของตัวเอง นอกจากนี้ทีมยังมีปัญหาอาการบาดเจ็บล้นทีมในช่วงสองเดือนที่ผ่านมาอีกด้วย และเขาก็ยังเปลี่ยน 11 ตัวจริงอยู่ตลอด ซึ่งทาง ฮ็อดเดิ้ล บอกว่าควรจะต้องหยุดเรื่องนี้ก่อน


    "เชลซี ก้าวไปอีกขั้นและทันใดนั้นก็มีบางอย่างเกิดขึ้น บางสิ่งมันขาดหายไป มีจุดอ่อนและอาการบาดเจ็บเข้ามาแต่ตอนนี้เป็นเวลาของการหาทีมที่ลงตัวแล้ว"

    "พวกเขาต้องใช้ทีมเดิมในทุกสัปดาห์เพื่อที่จะได้เข้าใจว่าจะเล่นร่วมกันอย่างไร เขาแค่ต้องเรียกว่าใครคือตัวจริง ถ้า เชลซี แพ้ในเกมแรก ยึดทีมชุดนั้นอีกครั้ง ไม่มีทีมไหนทำแบบนั้นมากพอ หากพวกเขาได้ผลการแข่งขันที่ดีสัก 2-3 เกม ทีมจะเติบโตขึ้นและผู้เล่นจากมานั่งสำรองก็จะรู้ว่าพวกเขาต้องทำอะไรมากกว่านี้เพื่อสอดแทรกขึ้นมาเป็นตัวจริง"

    "นี่เป็นเพียงแค่ตัวอย่างหนึ่งเท่านั้น - รีซ เจมส์ ต้องได้รับการปกป้องมากกว่านี้หน่อยเมื่อเขากลับมาจากอาการบาดเจ็บ แต่ตอนนี้เขาได้ลงเล่นไปบ้างแล้ว ถ้าเขาคือคนที่คุณต้องการ ส่งเขาลงเล่นเลยอีก 5 เกมข้างหน้า เช่นเดียวกับ มาร์ก กูกูเรย่า ในอีกด้านของสนาม มาเรสก้า มีตัวเลือกแต่ไม่ต้องไปยุ่งกับมัน แค่ส่งทีมที่แข็งแกร่งที่สุดลงสนามแล้วพวกพวกเขาจะกลับมาอยู่ในจุดเดิมได้"

    โคล พาลเมอร์ ไม่มีส่วนร่วมกับประตูของทีมนานที่สุดนับตั้งแต่ย้ายมาอยู่กับ เชลซี เมื่อซัมเมอร์ปี 2023 (5 เกม) สถิติของเขาในซีซั่นนี้ยังคงยอดเยี่ยม แต่ดูเหมือนว่าความกระตือรือร้นในช่วงหลายสัปดาห์ที่ผ่านมาลดลง เนื่องจาก มาเรสก้า พยายามหาทางแก้ปัญหาจากการขาดหายไปของ นิโกล่าส์ แจ็คสัน ที่สถิติจากเกมแพ้ ไบรท์ตัน 0-3 เขาคือคนที่ขยับขึ้นไปข้างหน้ามากที่สุด แต่ทาง ฮ็อดเดิ้ล เชื่อว่า พาลเมอร์ จะกลับมาทำได้ดีอีกครั้งในไม่ช้า


    "เขาต้องเล่นในตำแหน่งหมายเลข 10 บางครั้งเมื่อคุณขยับขึ้นไปสู่ในสนามมากเท่าไหร่โอกาสจะได้บอลก็น้อยลงเท่านั้น คุณจะถูกตามประกบแน่น ดังนั้นเขาต้องถอยลงมาลึกเพื่อรับบอล"

    "โคล คือนักเตะที่สามารถเปลี่ยนเกมได้สำหรับ เชลซี ถ้าเขายิงได้เขาจะกลับมาอยู่ในเส้นทางที่ดีอีกครั้ง สิ่งต่างๆ สามารถเกิดขึ้นได้เมื่อเขามีบอล"

    "ผมคงพูดกับ เอ็นโซ่ เฟร์นานเดซ และ มอยเซส ไกเซโด้ ว่า 'แค่ส่งบอลให้เขาก็พอ' ถ้า เชลซีส่งบอลให้เขามากกว่าตอนนี้อีก 90% เขาจะสร้างความแตกต่างได้ เขาจะกลับมาโชว์ฟอร์มดีอีกครั้ง"

    "แต่ก็ต้องมีคนอื่นขึ้นมาช่วยด้วยเช่นกันเพื่อรับแรงกดดันนั้น นั่นคือสิ่งที่ยากสำหรับเขา เป็นเรื่องยากในการรักษาระดับการเล่นที่ยอดเยี่ยมเอาไว้ ในการเป็นผู้กอบกู้ทีม ทำประตูหรือแอสซิสต์อยู่เสมอ มันเป็นไปไม่ได้ ดังนั้นเมื่อเขาเจอปัญหาเหมือนอย่างในเวลานี้ต้องมีคนก้าวขึ้นมาช่วย"


    "เปโดร เนโต้ เป็นผู้เล่นระดับท็อป เค้าเล่นทางซ้ายได้ แต่เขาจะอันตรายมากเมื่อเล่นด้วยเท้าซ้ายจากทางฝั่งขวา ถ้าเค้ารู้ว่าจะได้อยู่ในทีมทุกสัปดาห์ คุณจะเห็นได้เลยว่าเค้าโตโตขึ้นเป็นนักเตะแบบเดียวกับตอนที่อยู่ วูล์ฟส์ เราได้เห็นช่วงเวลาที่สำคัญอยู่บ้างแต่เขาขาดความสม่ำเสมอเพราะยังเข้าๆ ออกๆ ในทีมอยู่ตลอด ให้โอกาสเขาและให้เขาเล่นทางฝั่งขวา"

    "เอ็นกุนกู ในตอนนี้ต้องไปเป็นกองหน้าตัวเป้า เขาต้องมองหาโอกาสในการสอดทะลุคู่เซนเตอร์ ผมไม่ต้องการให้เขาลงมารับบอลแล้วเลี้ยงบอล ให้เขาเล่นในกรอบ 18 หลา และถ้ามีบอลเปิดเข้ามาเค้าต้องอยู่ในตำแหน่งที่จบสกอร์ำด้ นั่นจะทำให้ พาลเมอร์ มีพื้นที่มากขึ้นเพราะเซนเตอร์จะต้องถอยลงมา"

    "มาเรสก้า ทำหน้าที่ได้เป็นอย่างดี เค้ามีนักเตะจำนวนมากสามารถทดแทนไก้ เพื่อทำในสิ่งที่เขารู้สึกว่าถูกต้องสำหรับทีม"

    "เชลซี ชุดนี้ไม่ได้ดิ้นรนหนีการตกชั้นเหมือนอย่างที่ผมเจอ พวกเขาอยู่ในจุดของการกลับมาเป็นทีมระดับหัวแถวอีกครั้ง พวกเขาแค่ต้องการกองหน้าที่สามารถส่งบอลสู่ก้นตาข่ายได้และไม่พึ่งพาเพียงแค่ โคล พาลเมอร์ เท่านั้น ถ้าทีมมีผู้เล่นในตำแหน่งอื่นที่ช่วยทำประตูได้อย่างเช่น เอ็นกุนกู ทุกอย่างจะสามารถพลิกกลับมาได้แน่"


คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT

ถ้าไม่อยากพลาดทุกข่าวสารของวงการกีฬา โปรดติดตามเรา :
เพิ่มเพื่อน
Share
Twitter
Share
ระดับ : {{val.member.level}}
{{val.member.post|number}}
ระดับ : {{v.member.level}}
{{v.member.post|number}}
ระดับ :
ดูความเห็นย่อย ({{val.reply}})

ข่าวใหม่วันนี้

ดูทั้งหมด