คุยกับ ไรอัน เบอร์ทรานด์ ก่อนเกมตำนาน

ชื่อชั้นของอดีตแข้งวัย 35 ปี อาจจะไม่ได้มีอะไรให้น่าจดจำสำหรับแฟนบอลเท่าไร แม้ว่าเขาจะอยู่กับทีมมาอย่างยาวนานถึง 10 ปี แต่ช่วงเวลากับสโมสรเขาโดนปล่อยให้หลายทีมทีมยืมตัวทั้ง บอร์นมัธ, โอลด์แฮม, นอริช ซิตี้, เร้ดดิ้ง, น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์, แอสตัน วิลล่า และ เซาธ์แฮมป์ตัน ก่อนจะย้ายไปเล่นกับ "นักบุญ" ถาวร และไปแขวนสตั๊ดกับ เลสเตอร์ ซิตี้
หลายคนอาจจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าเขาคือหนึ่งในขุนพลชุดแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก หนแรกในประวัติศาสตร์สโมสร ที่เอาชนะ บาเยิร์น มิวนิค ได้เมื่อปี 2012
ที่สำคัญคือเขาเป็นตัวจริงในเกมชิงชนะเลิศที่ อัลลิอันซ์ อารีน่า ในค่ำคืนนั้นด้วย!
ไม่ถึง 24 ชั่วโมงก่อนหน้านั้น เขาไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าจะได้มีส่วนร่วมในรอบชิงชนะเลิศกับ "เสือใต้" อย่าว่าแต่การได้ออกสตาร์ทเป็น 11 คนแรก และเขียนชื่อไว้ในประวัติศาสตร์ของสโมสรในวันนั้น
ที่จริงแล้วตลอดทั้งฤดูกาล 2011/12 ไรอัน เบอร์ทรานด์ ไม่เคยได้ลงเล่นในเวที ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ให้กับสโมสรเลย ไม่แม้กระทั่งมีชื่ออยู่บ้นม้านั่งสำรองด้วยซ้ำตั้งแต่ อันเดร วิลลาช-โบอาช ยังคุมทีม กระทั่งโดนปลดในเดือนมีนาคม และ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ เข้ามารับตำแห่นงแทน
ดังนั้นมันจึงเป็นเรื่องน่าแปลกใจอย่างมากเมื่อนายใหญ่ชาวอิตาเลี่ยน แจ้งกับเขาว่าจะได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงในเกมที่ มิวนิค ไม่กี่ชั่วโมงก่อนเกมการแข่งขัน
"เราได้มีการวิดีโอคอลสั้นๆ เพื่อคุยกับครอบครัวถึงผู้เล่นทุกคน" เบอร์ทรานด์ เล่าความหลัง "ร็อบบี้ ถามเกี่ยวกับครอบครัวของผม และจากนั้นเขาก็บอกว่าผมจะได้ออกสตาร์ทในคืนนี้ เขาให้ผมลงเล่นบางเกม และผมหวังว่าผมจะชนะใจเขาได้ เพื่อที่ผมจะได้ลงเล่นต่อ"
"แม่และน้องชายของฉันกล่าวคำอวยพรและขอให้โชคดีให้กับทั้งทีม มีเสียงหัวเราะกันมากมาย และนั่นทำให้พวกเราทุกคนมีกำลังใจขึ้นมากเลยทีเดียว"
"มันรู้สึกราวกับว่านี่คือช่วงเวลาที่ผมรอคอยมาตลอดชีวิต และยิ่งใกล้ที่จะลงสนามมันก็แบบว่า 'อย่าทำให้ใครผิดหวัง และอย่าลืมว่าเราต้องชนะเท่านั้น!'"
"ผมทุ่มเทสุดความสามารถและมองมันเป็นเกมอีกเกมหนึ่ง แต่ภาพต่างๆ เหล่านี้ก็ผุดขึ้นมาในหัวเกี่ยวกับว่าผมมาจากไหนและความคิดที่จะทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ผมถูกยืมตัวมาหลายครั้งแล้วและถูกสอนให้เล่นเกมแบบนี้มาหลายปีแล้ว ไม่ใช่แค่เล่นไปเท่านั้นเอง”
"ผมเคยเล่นกับพี่ชายที่ เบอร์มอนด์ซีย์ โดยเล่น 'ฟุตบอลโลก' โดยแต่ละคนต้องเล่นกับตัวเองล่างแฟลต มีกำแพงที่ติดป้าย 'ห้ามเล่นบอล' ผมนึกถึงการเดินทางของตัวเองตั้งแต่ตอนนั้นจนถึงค่ำคืนที่ มิวนิต เสมอ"
เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับเด็กจากอะคาเดมีวัย 22 ปี ที่หลังจากถูกปล่อยยืมไปเล่นใน แชมเปี้ยนชิพ หลายครั้ง ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของทีมชุดใหญ่ของ เชลซี ในปี 2011/12 ในฐานะตัวสำรองของ แอชลีย์ โคล
การได้ลงเล่นในเกมชิงชนะเลิศ แชมเปี้ยนส์ ลีก ถือเป็นหนึ่งในจังหวะชีวิตของ ไรอัน เบอร์ทรานด์ เหมือนกัน เพราะอันที่จริงแล้วเต็มที่เขาควรจะนั่งอยู่ที่ม้านั่งข้างสนามเท่านั้น แต่ ฟลอร็องต์ มาลูด้า ไม่ได้อยู่ในสภาพที่พร้อมที่สุด ซึ่งนอกจากเกมรุกแล้วทีมต้องรับมือกับ ฟิลิปป์ ลาห์ม และ อาร์เยน ร็อบเบน อันร้อนแรง ฉะนั้นแล้วความฟิตถือเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมาก
การที่ โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ตัดสินใจใช้ ไรอัน เบอร์ทรานด์ ที่ขาดประสบการณ์ในเกมระดับนี้ถือเป็นการแสดงความเชื่อมั่นอย่างแท้จริง
เบอร์ทรานด์ เล่าต่อว่า "ร็อบบี้ เป็นคนสำคัญมากสำหรับผม ไม่มีคำพูดใดสามารถอธิบายได้ การที่เขาแสดงความเชื่อมั่นในตัวผมอย่างแท้จริงทำให้ผมมีความมั่นใจ การรู้ว่าผู้จัดการไว้วางใจคุณหมายความว่าคุณสามารถลงสนามและแสดงออกถึงตัวตนของตัวเองได้"
"ผู้จัดการทีม พร้อมด้วย (ผู้ช่วยผู้จัดการทีม) สตีฟ ฮอลแลนด์ และเ อ็ดดี้ นิวตัน เชื่อมั่นในตัวผมมาก ให้โอกาสผม และผมรู้สึกว่าผลงานของผมก็ตอบแทนพวกเขาด้วยเช่นกัน"
เบอร์ทรานด์ ทำหน้าที่ได้อย่างน่าชื่นชมที่ มิวนิค สามารถยืนระยะต่อกรกับยอดทีมอย่าง บาเยิร์น นาน 73 นาที ก่อนถูกเเปลี่ยนตัวให้ มาลูด้า ลงเล่นขณะที่สกอร์ยังคงเสมอกันอยู่ 0-0
แน่นอนว่าทุกคนรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น บาเยิร์น มิวนิค ขึ้นนำจาก โธมัส มุลเลอร์ นาทีที่ 83 แต่ ดิดิเยร์ ดร็อกบา มาตีเสมอในให้ทีม 5 นาทีหลังจากนั้น ก่อนที่ ปีเตอร์ เช็ก ผู้รักษาประตู และ สตาร์ทีมชาติไอวอรีโคสต์จะกลายมาเป็นฮีโร่ของทีมในการดวลจุดโทษ
เป็นช่วงเวลาที่น่าตื่นเต้นสำหรับสโมสรกับการคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ของยุโรปมาครองเป็นหนแรก แม้แต่นักเตะมืออาชีพที่มีประสบการณ์มากกว่าอย่าง ดร็อกบา, เช็ก รวมถึงกัปตันทีมในคืนนั้นอย่าง แฟรงค์ แลมพาร์ด ก็ยังรู้สึกตื้นตันใจหลังจากชัยชนะเกมนี้
และเมื่อทองไปที่ ไรอัน เบอร์ทรานด์ ที่ลงเล่นเป็นครั้งแรกของเขาในแชมเปี้ยนส์ลีก และลงเล่นเป็นตัวจริงให้กับ เชลซี ในทุกรายการแค่ 13 เกมเท่านั้น กับการจบลงด้วยการได้เหรียญแชมป์ที่เป็นที่ต้องการมากที่สุดถ้วยหนึ่งของวงการฟุตบอลสโมสรมาแขวนอยู่ที่คอของเขา
"คนส่วนใหญ่ไม่มีโอกาสเข้าถึงรอบชิงชนะเลิศ ยูฟ่า แชมเปียนส์ ลีก ในชีวิต ไม่ต้องพูดถึงการได้แชมป์เลย และนั่นก็พิเศษมาก ผมได้รับข้อความมากมายหลังจบเกม และผมแทบรอไม่ไหวที่จะกลับบ้านเพื่อไปพบทุกคนที่ไม่ได้เจอกันมานาน ข้อความทุกข้อความมีความหมายมาก และผมก็ใส่เหรียญรางวัลบนคออยู่นานเลย"
เบอร์ทรานด์ ไม่ใช่ผู้เล่นคนเดียวที่เป็นตัวแทนของตำนาน เชลซีที่ ได้เหรียญรางวัลเหล่านี้มาอวดโฉม นอกจาก โรแบร์โต้ ดิ มัตเตโอ ที่เป็นโค้ชแล้ว เพื่อนร่วมทีมที่ มิวนิค อย่าง มาลูด้า, แกรี่ เคฮิลล์ และ รามีเรส ก็ยืนยันแล้วว่าจะเป็นส่วนหนึ่งของทีมที่จะพบกับ "หงส์แดง" และจะมีแข้งเข้ามาเพิ่มเติมอีกแน่นอน
คอลัมน์กีฬาบทความกีฬาต่างๆโดยนักวิเคราะห์ GURUชั้นนำของไทย มีให้ท่านได้เสพทุกวันที่เว็บไซต์ TH SPORT